ขาลงเกาหลีฟีเวอร์
ผู้ที่เป็นคอละครเกาหลี หรือแฟนคลับน้กร้องดังจากแดนอารีดัง ควรรู้ไว้ว่า ขณะนี้กระแสเกาหลีฟีเวอร์ในบางประเทศเริ่มแผ่ว
แถมกำลังกลายเป็นปัญหาให้นักวิชาการทั้งหลายถกกันอย่างจริงจังว่า กระแสทีว่านี้กำลังเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตพลเมืองตนเองมากไปหรือเปล่า
ด้วยเหตุนี้เอง ฟากเกาหลีใต้ จึงได้จัดการสัมมนา เพื่อปลุกกระแสเกาหลีฟีเวอร์ให้กลับมาฮิตติดลมบนเหมือนเดิม (สำหรับบางประเทศ)
งานสัมมนาที่ว่า ประกอบด้วยผู้ช่วยชาญทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมประมา๊ณ 200 คน เ้น้นหารือเกี่ยวกับพัฒนาการและความท้าทายใหม่้ๆ ของคลื่นเกาหลี
รวมทั้งตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบัน และอนาคตของกระแสเหล่านี้ รวมถึงการวางแผนส่งเสริมกระแสคลื่นเกาหลีใต้เติบโตอย่างยั่งยืน
งานสัมมนานี้ จัดในลักษณะบูรณาการคือ มีเจ้าภาพหลายส่วน ทั้งมูลนิธิ ชอย คู-ชิค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคแกรนด์ เนชั่นแนล ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล
แถมยังจัดทำดัชนี้ชี้วัดคลื่นเกาหลี จัดทำการวิจัยกระแสต่อต้านกระแสเกาหลีฟีเวอร์ใน 5 ประเทศหลักและศึกษาสถานการณ์ของกระแสเกาหลีฟีเวอร์ใน 9 ประเทศทั่วโลก
ดัชนี้ชี้วัดคลื่นเกาหลี หรือกระแสเกาหลีฟีเวอร์ที่ว่า จัีดว่าเป็นของใหม่ ทีเป้าหมายเพื่อวัดกระแสความนิยมทุกอย่างเกี่ยวกับเกาหลี
ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ ดนตรี รายการโทรทัศน์ หรือแม้แต่เกมส์ต่างๆ ในต่างประเทศ โดยเป้าหมายครอบคลุมถึง ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และเวียดนาม
และหากมองในมิติของผู้บริโภค ดัชนี้ชี้วัดตัวนี้จะชี้วัดจำนวนของผู้ชมภาพยนตร์ จำนวนอัลบั้มที่ถูกซื้อไป เรตติ้ง การดาวน์โหลดทางอินเทอร์เน็ต
ระัดับของการได้รับการยอมรับ คุณภาพ ภาพลักษณ์และความภักดีของเหล่าแฟนๆที่มีต่อกระแสเกาหลีฟีเวอร์
ช่วงปี 2540-2543 นั้น ถือเป็นยุคทองของกระแสเกาหลีฟีเวอร์เลยก็ว่าได้ เพราะละครและเพลงเกาหลี กลายเป็นตัวผลักดันที่สำคัญในจีน ไต้หวันและเวียดนาม
ก่อนจะขยายตัวไปเป็นภาพยนตร์และเกม และแผ่ขยายไปยังญี่่ปุ่นจนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมเกาหลี ทั้ง ดารา อาหาร ภาษา การทำศัลยกรรมเสริมความงามหรือแม้กระทั่งการ์ตูน
ก่อนจะลามเข้าไปถึีงเอเชียกลางแอฟริกาและสหรัฐ ในอันดับต่อไป
ถึงกระนั้น นักวิจัยจากศูนย์วิจัยวัฒนธรรมท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ ยังทำการสำรวจและพบว่ามีกระแสต่อต้านคลื่นเกาหลีใน 5 ประเทศ
ที่วัฒนธรรมเกาหลีเคยเข้าถึงและได้รับความนิยมสูง ในช่วงระหว่างปี 2548-2552 คือ ญี่ปุ่น จีน ไทย อินโดนิเซียและสิงคโปร์
และประเทศเหล่านี้ เริ่มมีทัศนคติเชิงลบต่อทุกอย่างที่เป็นเกาหลี
ตัวอย่างเช่น 5 ประเทศในเอเชียเหล่านี้ วิพากษ์วิจารณ์คลื่นเกาหลีในลักษณะรุนแรง แถมสื่อญี่ปุ่น จีนและไทย ยังประสานเสียงเรียกร้องให้จำกัดการขยายตัวของคลื่นเกาหลี
แถมยังเตือนว่า มีความเป็นไปได้ที่คลื่นเกาหลี จะลุกลามใหญ่โตหากปล่อยให้ไปเกี่ยวพันกับประเด็นอื่นๆ
ส่วนหนังสือพิมพ์ในจีน ก็วิพากษ์วิจารณ์ละครเกาหลีและบริษัทเกาหลีที่เข้าไปในตลาดจีน อาจเป็นเพราะผู้นำจีนเริ่มมองเห็นอนาคตว่า
หากปล่อยให้ประชาชนในประเทศหมกมุ่นอยู่กับการเสพวัฒนธรรมเกาหลีต่อไป คนจีนยุคใหม่ อาจลืมหรือแยกไม่ออกว่า วัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมเกาหลีแตกต่างกันอย่่างไรก็เป็นได้
เครดิต:
กนกนภา เพิ่มบุญพา เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับ 934 วันที่ 23 เมษายน 2553 + For You I Will @ Pantip + [KH'']ซูจู'๑๓ @ สยามโซน
สำหรับรัฐบาลไทยคงทำได้ยาก เพราะว่าเราคำนึงถึงผลประโยชน์ของพวกพ้องตัวเองเป็นใหญ่
อีกทั้งข้าราชการที่เกี่ยวข้องก็ทำตัวใหญ่คับประเทศ วิจารณ์การปฏิบัติงานไม่ได้
ทำไมน่ะเหรอ ? ก็เพราะเขาเป็นข้าราชการขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพวกเราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะวิจารณ์
หากยังดื้อวิจารณ์อีก จะฟ้องกลับฐานหมิ่นประมาท ... คนในพันธ์ทิพย์โดนกันมาแล้ว เหอๆ ๆ ๆ ๆ
คอมเมนท์ที่ตัวบทความบ้างน่ะค่ะ
โดยส่วนตัวแล้วสนับสนุนวิสัยทัศน์ของรัฐบาลจีน และถือว่าเขามองเหตุการณ์ที่เกิดอย่างเข้าใจ
แน่นอนค่ะ!! ว่าการแอนตี้นั้นมันทำได้ลำบาก ... แต่อะไรก็ตามที่มันเกินไป รุนแรงเกินไป
ก็ต้องมีคนออกมาบริหารจัดการให้อยู่ในภาวะปกติ ไม่เป็นอันตราย .. อุปมาอุปไมยคล้ายการสร้างเขื่อนนั้นแหละ !!
อีกทั้งเรื่อง Korean Wave มันไม่ใช่แค่การไหลบ่าทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่มันคลอบคุลมไปถึงการเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต
หากรัฐบาลไม่มีการจัดการที่ดี ประเทศเขาก็จะประสบปัญหาได้ในที่สุด
แต่ในทางกลับกัน กระแสเกาหลีฟีเวอร์ก็นำมาซึ่งความตื่นตัวและเปลี่ยนแปลงวงการบันเทิงในหลายๆ ประเทศ
หากประเทศไทยทำมันอย่างจริงจัง และจัดการอย่างมีระบบ .. Thai Wave ก็ไม่ไกลเกินฝัน
* ดิทตอบคุณนายมุน *
เกี่ยวฮ่ะ !! ... วัฏจักรของทุกสรรพสิ่งมันก็เป็นอย่างที่คุณนายว่ามานั้นแล
แต่กว่าวัฏจักรจะครบ 1 รอบมันจะทิ้งอะไรหลงเหลือเอาไว้บ้าง .. จุดนี้ก็สำคัญ
แต่เอาเถอะ !! มันเป็นเรื่องของเขาที่เราก็ต้องรอดูการจัดการของเขาต่อไป
เพราะจะต่อต้าน ไม่เอาเลย มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว
และไม่ว่ารัฐบาลเกาหลีจะมีการเตรียมการเรื่องมาถึง 10 ปี (ก่อนลงมือปฏิบัติจริง)
มีการเข้ามาสำรวจผู้คนประเทศโน้นนี่นั้น รวมถึงการมาซุ่มดูงานของนักร้องในหลายประเทศ ... รวมทั้งประเทศไทย
อ่านไม่ผิดหรอก ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เขาเข้ามาเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
แต่หากศักยภาพไม่ไปพร้อมกับภาพลักษณ์ที่เขานำเสนอ ... มันก็นำมาซึ่งจุดเสื่อมได้เหมือนกัน
ก็เหมือนกับที่เราเสื่อมศรัทธากับนักร้องไทยนั่นแหละ เอะ!! หรือบอลไทยดีหว่า 5 5 5 +
สิ่งเดียวที่นับถือของโปรเจ็คนี้ คือ การทำงานที่เป็นระบบ การทำงานที่เป็นทีม
การรับลูกระหว่างรัฐบาล, บริษัท, และสื่อ ... คนไทยควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างเหมือนกันน่
แต่ความบิดเบือนของสื่อไม่ต้องเอามาเป็นทั้งเยี่ยงและอย่างก็ได้ค่ะ
ส่วนพารากาฟแรกของคุณนายนี่ จะพาเขาติดคุกไหมอ่ะ TT^TT
เอาโดยส่วนตัวน่ะ ไปคุยในเอ็มฯ ดีกว่าฮ่ะ เหอๆ ๆ ๆ ๆ