วันนี้มาว่ากันด้วยเรื่องการกินยาอีกครั้ง หลายคนคงเคย
เจอปัญหาว่ายาเม็ดโตเกินไป จะเคี้ยวจะกลืนแต่ละทีก็
แสนลำบาก อย่ากระนั้นเลย บดเสียก่อนกินน่าจะสะ
ดวกแต่หารู้ไม่ว่าความสะดวกนั้นอาจทำให้เป็นอัน
ตรายถึงชีวิตได้ เพราะมันมีผลต่อฤทธิ์ในการปล่อยยา
สู่ร่างกาย
รายละเอียดของเรื่องนี้มาจากข่าวต่างประเทศที่ผู้เชี่ยว
ชาญในอังกฤษกล่าวเตือนว่า การบดยาเม็ดเพื่อให้
ทานง่ายขึ้นอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
ถึงชีวิตเพราะไปทำลายสารเคลือบเม็ดยาที่มีผลต่อ
การปล่อยยาในร่างกาย เภสัชกรและทนายความที่
โน่นเปิดเผยว่า คนชราร้อยละ 60 มีปัญหาในการ
กลืนยา และมีงานวิจัยพบว่าพยาบาลตามสถานพยาบาลถึงร้อยละ 80 ใช้วิธีบดเม็ดยาเพื่อช่วย
ให้คนชรากลืนยาง่ายขึ้น แต่ละปีมียาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์และเกิดผลข้างเคียงทางลบประมาณ 75
ล้านชุด
ยาที่ไม่ควรบด ได้แก่ ทาม็อกซิเฟน ที่ใช้รักษามะเร็งเต้านม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีมีครรภ์ ในขณะ
ที่ มอร์ฟีน ไม่ควรบดเพราะอาจทำให้ยาถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเร็วถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต ส่วน ไนเฟดิพีน ที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูงหากบดจะทำให้มึนงง ปวดศีรษะ เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัว
ใจหรือหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ ยาเม็ดยังมีสารเคลือบพิเศษที่ช่วยให้ยาถูกดูดซึมในเวลาที่นาน
ขึ้น ผู้ป่วยจึงกินยาเพียงวันละ 1 เม็ด ไม่ต้องกินวันละหลายครั้ง หากยาถูกบดก็จะถูกดูดซึมเร็วกว่าที่
ต้องการ
ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนด้วยว่า แพทย์และพยาบาลจะถูกดำเนินคดีและตั้งข้อหา ประมาทเลินเล่อหาก
แนะนำให้ผู้ป่วยบดเม็ดยาหรือแกะแคปซูลที่หุ้มยาไว้ พร้อมแนะนำว่าแพทย์ควรสอบถามผู้ป่วย
ก่อนสั่งจ่ายยาว่ามีปัญหาในการกินยาเม็ดหรือไม่ เพื่อสั่งจ่ายยาในรูปแบบอื่นแทน เช่น ยาน้ำ แผ่นแปะ หรือยาที่ใช้สูดดม
สำหรับในเมืองไทยแม้ยังไม่มีข้อกำหนดเรื่องการดำเนินคดีเกี่ยวกับการบดเม็ดยาอย่างเมืองนอก ทางที่ดีผู้ป่วยควรใช้ความระมัดระวัง อย่าเสี่ยงบดยากินเองเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุดต่อชีวิตเราเอง.
ที่มา : สยามดารา