ยังจำ "ไททานิค" กันได้มั้ย
ร่วมรำลึกความหลังพร้อมกับไว้อาลัยวันครบรอบ 98 ปีที่เรือไททานิคจม...
ชื่อเต็ม : Royal Mail Steamer Titanic (RMS Titanic)
สมญานาม : Unsinkable (ไม่มีวันจม)
ออกเดินทาง : 10 เมษายน ค.ศ. 1912
อับปางกลางมหาสมุทรแอตแลนติก : 15 เมษายน ค.ศ. 1912
ย้อนไปเมื่อประมาณร้อยปีที่แล้ว การเดินทางข้ามทวีปไกลๆ นั้นเป็นเรื่องค่อนข้างลำบาก มีเพียงยานพาหนะเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเดินทางข้ามทวีปไกลๆ ได้ซึ่งก็คือเรือเดินสมุทรนั่นเอง
บริษัทไวท์ สตาร์ ไลน์ (White Star Line) เป็นบริษัทที่ผลิตเรือเดินสมุทรมากมาย ได้ตัดสินใจผลิตเรืออาร์เอ็มเอสไททานิคขึ้นพร้อมกับเรือคู่แฝดที่ชื่อว่า
อาร์เอ็มเอส โอลิมปิก (RMS Olympic) โดยมีงบประมาณการสร้างประมาณ 650-900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในตอนนั้นนับว่าเรือ 2 ลำนี้เป็นเรือคู่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
เรือไททานิคได้เริ่มออกเดินทางครั้งแรก (และเป็นครั้งสุดท้าย) โดยออกจากท่าเรือที่เมืองเซาท์แธมป์ตัน ประเทศอังกฤษในวันพุธที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 ควบคุมการเดินเรือโดยกัปตัน เอ็ดเวิร์ด เจ. สมิธ (Edward J. Smith) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกัปตันที่เก่งที่สุดและมีค่าตัวแพงมากที่สุดในช่วงนั้น โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้เดินทางรวมทั้งหมด 2,208 คน (แบ่งเป็นลูกเรือ 891 คน ผู้โดยสารชั้นสาม 708 คน ผู้โดยสารชั้นสอง 285 คน และผู้โดยสารชั้นหนึ่ง 324 คน)
เรือไททานิคมีความยาว 269.0622 เมตร กว้าง 28.194 เมตร หนัก 46,328 ตัน มีทั้งหมด 9 ชั้น มีลิฟท์โดยสาร 4 ตัว และมีปล่องไฟขนาดใหญ่สูง 19 เมตร 4 ปล่อง แล่นได้ความเร็วสูงสุด 23 น็อตหรือประมาณ 42 กิโลเมตร / ชั่วโมง สำหรับค่าตั๋วโดยสารนั้น นับว่ามีราคาแพงมาก ได้แก่
- ชั้นสาม ราคาถูกสุด 3 ปอนด์ (ประมาณ 150 บาท แต่ถ้าเทียบกับเงินปัจจุบันจะมีค่าประมาณ 6,000 บาท) และแพงสุดคือ 8 ปอนด์ (ประมาณ 400 บาท แต่ถ้าเทียบกับเงินปัจจุบันจะมีค่าประมาณ 16,000 บาท)
- ชั้นสอง มีราคาเดียวคือ 12 ปอนด์ (ประมาณ 600 บาท แต่ถ้าเทียบกับเงินปัจจุบันจะมีค่าประมาณ 24,000 บาท)
- ชั้นหนึ่ง ถ้าเป็นห้องธรรมดาจะมีราคา 870 ปอนด์ (ประมาณ 4,350 บาท แต่ถ้าเทียบกับเงินปัจจุบันจะมีค่าประมาณ 1,720,000 บาท) แต่ถ้าเป็นห้องพิเศษจะมีราคา 4,350 ปอนด์ (ประมาณ 217,500 บาท แต่ถ้าเทียบกับเงินปัจจุบันจะมีค่าประมาณ 8,600,00 บาท)
และถ้าหากใครเคยชมภาพยนตร์เรื่องไททานิคก็คงจะเห็นว่า แต่ละชั้นก็จะมีสภาพความหรูหราที่ต่างกันมาก รวมถึงมีอาณาเขตแบ่งแยกอย่างชัดเจน ผู้โดยสารของแต่ชั้นจะไม่สามารถข้ามไปยังชั้นอื่นได้โดยเด็ดขาด โดยเฉพาะผู้โดยสารชั้น 3 ที่มีราคาตั๋วถูกที่สุดนั้น ไม่มีสิทธิ์ใช้ลิฟท์โดยสารและขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้า สำหรับห้องพักของชั้น 3 นั้นค่อนข้างแคบ มีตั้งแต่ห้องขนาด 2 เตียงจนมากถึง 8 เตียง แต่ยังไงก็ตามการโดยสารในชั้น 3 นั้นก็มีข้อดีคือ การที่มีห้องพักอยู่ในท้องเรือลึก ทำให้อากาศอบอุ่นและไม่หนาวเหมือนชั้นโดยสารชั้น 1 และ 2 ที่ได้พักในชั้นที่อยู่สูงกว่า
ส่วนชั้น 2 นั้น ผู้โดยสารจะได้รับความหรูหราและสะดวกสบายเหมือนได้พักในโรงแรมทั่วไป
สำหรับห้องพักนั้น มี 2 ประเภทคือ ห้องขนาด 2 เตียงและ 4 เตียง ส่วนชั้น 1 นั้นเป็นชั้นที่ผู้โดยสารจะได้รับความสะดวกสบายอย่างมากที่สุด โดยห้องพักแต่ละห้องนั้นถูกจัดตามสไตล์ต่างๆ มากกว่า 10 รูปแบบ เช่น ดัทช์โบราณ อิตาเลียน หลุยส์ เรเนอซองส์ เป็นต้น รวมถึงยังมีเตาผิง ห้องแต่งตัวและห้องนั่งเล่นอยู่ภายในห้องพักด้วย
แต่เรือไททานิคที่มีผู้โดยสารรวมกว่า 2 พันคนลำนี้กลับมีเรือชูชีพเพียง 20 ลำ ซึ่งสามารถจุผู้โดยสาร ได้ทั้งหมดเพียง 1,178 คนหรือประมาณครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากลงความเห็นกันว่าเรือลำนี้ไม่มีวันจม ดังนั้นการมีเรือชูชีพมากๆ เป็นการเปลืองเนื้อที่โดยสิ้นเปลือง
เรือไททานิคออกเดินทางเมื่อวันที่ 10 เมษายน 1912 จนเมื่อวันที่ 14 เมษายน เรือไททานิคก็ได้รับคำเตือนทางโทรเลขให้ระวังภูเขาน้ำแข็งที่ลอยมาจากเกาะกรีนแลนด์ แต่กลับไม่มีใครสนใจคำเตือนจากโทรเลขนั้น อีกทั้งในขณะนั้นเรือได้เร่งความเร็วเพื่อต้องการจะทำสถิติให้เดินทางไปถึงสหรัฐอเมริกาได้เร็วกว่าสถิติของเรือลำอื่นที่เคยทำไว้
จนเมื่อเวลา 22.50 ของคืนนั้น อุณหภูมิภายนอกของเรือลดลงจนถึงจุดเยือกแข็ง แต่ไม่มีใครสนใจถึงความผิดปกติที่กำลังจะเกิดขึ้น ทุกๆ คนต่างใช้ชีวิตสังสรรค์เฮฮาอยู่ในเรือโดยไม่ได้มีลางสังหรณ์ว่ากำลังจะเกิดหายนะในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ จนมีเจ้าหน้าที่ของเรือได้เริ่มสังเกตเห็นภูเขาน้ำแข็งซึ่งตั้งอยู่ข้างหน้าพร้อมกับสั่งให้หักหลบ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เนื่องจากเรือไททานิคแล่นมาด้วยความเร็วสูงสุดจึงไม่สามารถหักหลบภูเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์ซึ่งอยู่ห่างออกไป 450 เมตรได้พ้น จึงทำให้เรือพุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็งทางกราบขวาเข้าอย่างแรง
กัปตันสมิทได้ประเมินความเสียหายแล้วพบว่า เรือกำลังจะจมลงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า จึงได้ทำการจุดพลุเพื่อขอความช่วยเหลือ รวมถึงเริ่มทยอยอพยพผู้โดยสารลงเรือชูชีพที่สามารถบรรจุได้ลำละประมาณ 65 คน แต่โชคร้ายซ้ำเข้าไปอีก เมื่อเรือชูชีพกลับมีขนาดไม่แข็งแรงมากพอที่จะบรรทุกผู้โดยสารได้เต็มจำนวน จึงทำให้เรือชูชีพบางลำถูกปล่อยไปทั้งๆ ที่มีคนนั่งอยู่เพียง 20 กว่าคนเท่านั้น
โดยผู้ที่มีสิทธิ์ลงเรือเป็นคนแรกๆ ก็คือเด็กและผู้หญิงนั่นเอง ซึ่งในวินาทีนั้นเรียกได้ว่าเป็นนาทีชีวิตเลยทีเดียว เพราะผู้หญิงบางคนยอมเสียสละไม่ลงเรือเพื่อจะได้ตายอยู่บนเรือพร้อมกับคนที่รัก แต่ผู้ชายบางคนกลับปลอมตัวเป็นผู้หญิงโดยเอาผ้าคลุมหน้าเพื่อหวังจะลงเรือชูชีพ หนึ่งในนั้นคือผู้จัดการบริษัทไวท์สตาร์ที่เป็นบริษัทผลิตเรือไททานิค โดยหลังจากรอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เขาได้ถูกสังคมตราหน้าตลอดชีวิตว่ารอดตายมาได้เพราะแย่งที่นั่งบนเรือของเด็ก ตรงข้ามกับกัปตันสมิทที่ยอมสละชีวิตพร้อมกับลูกเรือบนเรือไททานิค
จนเวลาตี 2 กว่าๆ ระบบไฟฟ้าบนเรือหยุดทำงาน และไม่นานเรือก็หักออกเป็นสองท่องโดยที่พื้นชั้นล่างสุดของเรือยังไม่ขาดออกจากกัน การหักนี้ทำให้ส่วนหัวเรือจมลงและดึงส่วนท้ายเรือขึ้นมา ส่งผลให้ส่วนท้ายของเรือยกตั้งฉากกับพื้นน้ำ และเรือจมลงในแนวดิ่ง ณ เวลา ตี 2 ยี่สิบนาที ผู้โดยสารที่จมลงในน้ำต่างก็ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือท่ามกลางอุณหภูมิน้ำของมหาสทุรแอตแลนติกที่กำลังเย็นเฉียบถึงขั้นติดลบ จนเวลาตี 3 เสียงขอความช่วยเหลือได้เงียบลง เหลือเพียงร่างของผู้คนที่ได้เสียชีวิตเพราะทนความหนาวไม่ไหว
สรุปยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมด 1,517 คน ส่วนผู้รอดชีวิตมีจำนวน 706 คน โดยเฉพาะผู้ที่ลอยคออยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกหลังจากเรือจมนั้นมีจำนวนกว่าพันคน แต่กลับรอดชีวิตจากการหนาวตายมาได้เพียง 11 คนเท่านั้น ....
Credit: wikepedia.org