เครดิต ::
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1145999คนถนัดซ้ายและโอกาส
ส่วนของคนถนัดซ้ายในประชากรกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าสนใจในประเทศพัฒนาแล้วตามที่มีการสำรวจ และเชื่อว่าปรากฏการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นเช่นกันในประเทศอื่นๆ สาเหตุของการเพิ่มสูงขึ้นนี้โยงใยอย่างน่าสนใจกับประเด็นการเลี้ยงดูลูกหลานและการที่สังคมสนับสนุนให้เยาวชนปลดปล่อยศักยภาพในยุคปัจจุบัน
มีหลักฐานทางโบราณคดีว่ามนุษย์ถนัดทั้งซ้ายและขวามายาวนาน นับตั้งแต่เมื่อมนุษย์ลุกขึ้นยืนบนสองขาเป็นมนุษย์เช่นผู้คนในปัจจุบันเมื่อประมาณ 150,000 ปีก่อน มนุษย์ส่วนใหญ่ถนัดขวามากกว่าถนัดซ้าย จนการถนัดซ้ายถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติที่เลวร้าย
คำว่า sinister ในภาษาละตินแปลว่า "ซ้าย" และกลายเป็นคำในภาษาอังกฤษปัจจุบันซึ่งหมายถึง "โชคร้าย" หรือ "ชั่วร้าย"
ในขณะที่คำว่า "ขวา" ในหลายประเทศของยุโรปหมายความถึง "ถูกต้อง" (right ในภาษาอังกฤษ) "ความยุติธรรม" "อำนาจตามกฎหมาย" (recht ในภาษาเยอรมันและดัชต์ และ droit ในภาษาฝรั่งเศส)
สำหรับจีนโบราณด้านซ้ายคือด้านไม่ดี คำว่า "ซ้าย" ในภาษาจีนกลางหมายถึง "ไม่เหมาะสม" "ไม่ถูกต้อง" ทั้งหมดนี้มีนัยยะของความเอนเอียงไปทาง "ขวา" เนื่องจากคนส่วนใหญ่ถนัดขวา
การที่บุคคลหนึ่งจะถนัดขวา (จริงๆ คือถนัดมือขวา) หรือถนัดซ้ายนั้น นักวิชาการปัจจุบันเชื่อว่าเลือกไม่ได้เพราะมันมาจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมในครรภ์
ในปี 2007 มีการพบว่ายีนส์ที่ตั้งชื่อว่า LRRTM 1 เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของโอกาสในการถนัดซ้าย
นอกจากนี้ยังพบว่าการจะถนัดมือไหนเริ่มพัฒนาตั้งแต่อยู่ในครรภ์โดยสังเกตเห็นได้จากการวางมือใดไว้ใกล้ปากมากที่สุด มือนั้นก็จะเป็นด้านที่ถนัดในเวลาต่อมา
ปัจจัยสำคัญอีกตัวหนึ่งก็คือ ปริมาณของฮอร์โมนเพศชาย (testosterone) ในครรภ์ที่ทารกเติบโตอยู่
ทฤษฎีของ Norman Geschwind ระบุว่า ฮอร์โมนเพศชายจะไปกดการเจริญเติบโตด้านซ้ายของ cerebral hemisphere (บริเวณสมองซีกซ้าย) จนเซลล์สมองหรือ neurons ย้ายไปเติบโตในซีกขวาแทน ดังนั้น ทารกในครรภ์จึงมีทางโน้มที่จะถนัดซ้ายเพราะสมองซีกขวาควบคุมการทำงานซีกซ้ายของร่างกาย
สถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการถนัดซ้ายก็คือ ประชากรอังกฤษในทศวรรษ 1970 มีหญิงชายอายุ 15-24 ปี อยู่ร้อยละ 11 ที่ถนัดซ้าย ซึ่งตัวเลขเดียวกันในอายุ 55-64 ปี หรือเกิดก่อนหน้าเด็กกลุ่มแรกประมาณ 40 ปี มีเพียงร้อยละ 3
ในสหรัฐอเมริกาก็พบคล้ายกันกล่าวคือ ส่วนของคนเกิดในทศวรรษ 1960 ถนัดซ้ายมากกว่าสองเท่าของคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
ในสหรัฐอเมริกาเดิมเชื่อกันว่า คนถนัดซ้ายมีส่วนในประชากรเพียงประมาณ ร้อยละ 10 แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลของประชากรอเมริกันที่ถนัดซ้าย โดยจำแนกตามปีเกิดแล้วก็จะพบว่ามีส่วนสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่น เกิด ค.ศ.1943-1952 มีส่วนถนัดซ้ายร้อยละ 12 เกิด ค.ศ.1953-1962 ร้อยละ 13 และเกิด ค.ศ.1963-1972 ร้อยละ 15.8 (สถิติเหล่านี้มาจากการถามว่าถนัดมือข้างใดหลังจากเติบโตเป็นเยาวชนแล้ว)
ในประเทศอื่นก็เชื่อว่ามีส่วนของคนถนัดซ้ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน แต่มิได้เกิดถนัดซ้ายเพิ่มขึ้นมากเพราะสาเหตุจากฮอร์โมนเพศชาย แต่เชื่อว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการเลี้ยงดูและให้โอกาสเด็กพัฒนามากกว่าอย่างอื่น
Chris McManus ผู้เขียนหนังสือ Right-Hand, Left-Hand ได้เสนอสาเหตุหลายประการที่ทำให้คนถนัดซ้ายมีส่วนเพิ่มขึ้นดังต่อไปนี้
(1) คนถนัดซ้ายถูกกดขี่ในศตวรรษที่ 18 และ 19 อย่างหนัก เช่น พ่อ แม่ และครูจะพยายามบีบบังคับดัดมือให้ถนัดขวา (การเขียนจากซ้ายไปขวาทำให้คนถนัดซ้ายมีความไม่สะดวก ต้องจับปากกาและวางมือไว้ข้างบนตัวอักษร) ดังนั้น คนที่ดำรงความถนัดซ้ายแต่เกิดไว้ได้จึงมีส่วนต่ำ แต่ในยุคใหม่การบีบบังคับเช่นนี้มีน้อยลง
(2) เมื่อโตขึ้นคนถนัดซ้ายถูกสังคมมองว่าเป็นคนประหลาดโดยเฉพาะในสมัยก่อน คนถนัดซ้ายจึงมีโอกาสแต่งงานน้อยกว่า ดังนั้น โอกาสในการผลิตคนที่ถนัดซ้ายตามกรรมพันธุ์จึงมีน้อยลง
(3) ในยุคเสรีตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาคนถนัดซ้ายได้รับการยอมรับมากขึ้น เนื่องจากสังคมยอมรับการเป็นปัจเจกบุคคลอย่างกว้างขวางขึ้น ดังนั้น แรงกดดันให้เปลี่ยนเป็นถนัดขวาจึงมีน้อยลง
(4) หญิงมีลูกตอนอายุสูงขึ้นทำให้ช่วยเพิ่มส่วนของคนถนัดซ้ายเพราะสถิติชี้ว่า หากหญิงมีลูกตอนอายุมากขึ้นก็มีทางโน้มที่จะมีลูกถนัดซ้ายมากขึ้น
โดยส่วนตัวเชื่อว่าการยอมรับการถนัดซ้ายโดยพ่อแม่ ครู และสังคมในยุคเสรีเปิดโอกาสให้เด็กบรรลุศักยภาพของตนเองคือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เยาวชนดำรงความถนัดซ้ายตั้งแต่เกิดจนเป็นผู้ใหญ่ไว้ได้ การกีดขวางพัฒนาการของเด็กโดยเริ่มที่การพยายามเปลี่ยนการถนัดซ้ายมาเป็นขวามีน้อยลง
Chris McManus ชี้ว่าเมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์จะพบว่าคนถนัดซ้ายมีส่วนของคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง สูงกว่าคนถนัดขวาเนื่องจากสมองของคนถนัดซ้ายถูกสร้างให้แตกต่างกว่า โดยขยายขอบเขตของความสามารถโดยเฉพาะในด้านภาษาและศิลปะ
เขาเชื่อว่าปรากฏการณ์เพิ่มขึ้นของส่วนคนถนัดซ้ายจะเป็นผลดีแก่โลกในอนาคต
คนสำคัญในโลกที่ถนัดซ้าย ได้แก่ Alexander the Great/ Julius Caesar/ Napoleon Bonaparte/ รวมทั้ง Colin Powell และ Norman Schwarzkopf
Leonardo da Vinci/ Michelangelo/ Pablo Picasso/ Ludwig van Beethoven/ Paul McCartney/ Ringo Starr ถนัดซ้ายเช่นเดียวกับนักกีฬาเทนนิส เช่น Rod Laver/ Jimmy Connors/ John McEnroe/ Martina Navratilova
นักการเมืองถนัดซ้าย ได้แก่ Gerald Ford ประธานาธิบดีบุช (ผู้พ่อ) Bill Clinton/ Ross Perot (ทั้ง 3 คนหลังเป็นผู้สมัครประธานาธิบดีในปี 1992 เหมือนกัน)
ราชวงศ์อังกฤษ เช่น Queen Elizabeth II (พระราชินีองค์ปัจจุบัน) เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และเจ้าชายวิลเลียม รวมทั้ง Queen Mother (พระราชมารดาพระราชินีองค์ปัจจุบัน) ก็ล้วนถนัดซ้าย
คนถนัดซ้ายที่มักเรียกกันในภาษาอังกฤษว่า southpaw (บ้างก็ว่าคำนี้มีที่มาจากกีฬา baseball บ้างก็ว่าอยู่ในพจนานุกรมอังกฤษก่อนกีฬาเบสบอลเกิดอีก) นั้นมีชีวิตที่ลำบากพอควรไม่ว่าการหาเก้าอี้ที่เป็นแผ่นรองเขียนถนัดมือ หาอุปกรณ์กีฬาสำหรับคนมือซ้าย เช่น ไม้กอล์ฟ เล่นกีฬาฮอคกี้ไม่ได้ (กติกาบังคับห้ามถือไม้ในมือซ้าย) ปืนสั้นบางรุ่นที่สร้างมาสำหรับคนถนัดขวา ฯลฯ
ในช่วงเวลานี้ที่กีฬากำลังฮิต นักชกมวย southpaw ถือว่าได้เปรียบเพราะนักชกถนัดขวามักคาดเดากำปั้นที่ลอยมายากขึ้น หากเล่นโปโลน้ำโดยคนเล่นมักถนัดบุกทางปีกขวา คนถนัดซ้ายก็ได้เปรียบเพราะยิงประตูถนัดกว่าด้วยมือซ้าย ในเทนนิสคนที่ถนัดขวาแต่เคยชินกับการเล่นกับคนถนัดซ้ายก็ได้เปรียบมาก เช่น Rafael Nadal นักเทนนิสสุดดังในขณะนี้
งานวิจัยของ Johns Hopkins University ในปี 2006 พบว่าชายที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่ถนัดซ้ายโดยเฉลี่ยมีรายได้สูงกว่าคนถนัดขวาร้อยละ 25 (หากเรียนไม่จบ คนถนัดซ้ายก็ยังสูงกว่าร้อยละ 15 อยู่ดี) ดังนั้น ถึงแม้จะถูก "กดขี่" ในสมัยก่อน แต่ในยุคเสรีคนถนัดซ้ายมีโอกาสแสดงออกซึ่งศักยภาพอย่างเต็มที่
เพียงการปลดปล่อยให้เด็กถนัดซ้ายได้มีการพัฒนาอย่างเสรีดังเช่นในปัจจุบันยังเกิดผลดีเช่นนี้ ถ้าพ่อแม่ยอมให้ลูกได้มีโอกาสพัฒนาตนเองตามที่เขาชอบและถนัดแล้ว ลองจินตนาการดูว่าจะเกิดผลดีแก่เขามากมายเพียงใด