เครดิต ::
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=886824รู้ป่ะ โอรีโอ้ กินมากๆ ตายได้ !!! (จริงป่ะ O_o)
โอรีโอ
อันตรายมาก>The Facts about (trans) Fat : ไขมันที่กินแล้วไม่อ้วน แต่ กินแล้วตาย
น่ากลัวกว่าไหม?
คุณรู้จัก โอรีโอ ดีแค่ไหน?
มีคุกกี้ชื่อดังยี่ห้อหนึ่ง แค่ถูกฟ้องเป็นคดีอื้อฉาว ใครๆก็เคยคุ้นเคยกิน
คุกกี้หน้าตาดำๆ ไส้ครีมขาวๆ ใครหยิบคุกกี้ชนิดนี้มากิน 3 อัน>จะได้รับพลังงาน 160 แคลอรี่ส์ ซึ่งบรรจุไว้ซึ่งไขมัน 7 กรัมข้างซองก่อนเก่าเขาระบุว่า 1.5 กรัมนั้น ทำมาจากไขมันอิ่มตัว ที่เหลือ อุอุ
ไม่ยอมบอกว่าเป็นไขมันชนิดไหน
จนกระทั่งถูกจับได้ว่า แอบยัด trans fat เข้าไปซะ 5.5 กรัม
ปี 2006 มีกฎหมายควบคุมปริมาณ trans fat ออกมาใช้แล้ว
ในผลิตภัณฑ์อาหารใดๆมีการใช้ trans >fatเป็นส่วนผสมต้องระบุจำนวนไว้อย่างเด่นชัด ห้ามหลบซ่อน
หลอกผู้บริโภคให้หัวใจวายตายกันเป็นว่าเล่นอีกต่อไป
กรณีที่คุกกี้ดำๆ ถูกฟ้องร้อง ด้วยโทษฐานไม่บอกกันว่า ยัด trans fat
ให้เด็กๆกินเข้าไปเท่าไหร่ เพราะคุกกี้นี้เป็นที่นิยมกินกันมาก
ข่าวเขาเล่าว่าตั้งแต่มีการผลิตคุกกี้ชนิดนี้ออกมาขายเมื่อปี 1912
ขายไปแล้วกว่า 450 billion ใครลองนับดูว่าตัวเองเผลอบริโภคคุกกี้ดำๆนี้เข้าไปเท่าไหร่ (นั่นล่ะ trans fat ไปนอนรอนิ่งๆ
คอยบั่นทอนหัวใจให้ล้มเหลว ไม่วันใดก็วันหนึ่งเข้าแล้ว )
trans fat คืออะไร
>เป็นไขมันจากพืชที่มนุษย์ผลิตขึ้นผ่านกระบวนการแปรรูปอาหาร
(ขบวนการผลิตค่อนข้างวิทยาศาสตร์ไว้ค่อยขยายความต่อไป)
ซึ่งขณะนี้งานวิจัยหลายฉบับ สรุปว่า ** มันเป็นไขมันชนิดร้ายแรงที่สุด คือ
นอกจากจะไม่ให้ประโยชน์ใดทั้งสิ้น
ยังไปทำลายไขมันดีที่ร่างกายสะสมไว้ใช้งานอีกด้วย
อาหารที่ขายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตกว่า 40 เปอร์เซนต์อุดมไปด้วย trans fat
(ใครอยากรู้ไหมว่า อาหารประเภทไหนบ้าง เรามีลิสต์จดเก็บไว้ดูเล่นหมดล่ะ
ถามว่า จะเผลอบริโภคเข้าปากไปได้จำนวนเท่าไหร่ถึงไม่ถือว่าอันตราย
ตอบได้ทันทีว่า .... ไม่ควรกินเลยแม้แต่กรัมเดียว
( ถ้าพลาดกินไปแค่ 1-2 กรัม/วัน ก็ยังพอวางใจกันได้อยู่บ้าง )
ฉะนั้นการที่เจ้าของโครงการ Ban Trans Fat
ซึ่งเป็นท่านทนายเขาฟ้องร้องคุกกี้ดำๆ ด้วยเหตุที่ว่า
ผู้ผลิตปิดบังข้อมูลที่เป็นอันตรายไว้ & gt;และผู้บริโภคซึ่งเป็นเด็กไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็บริโภคกันเข้าไปเท่าไหร่แล้วไม่รู้
คดีฟ้องร้องคุกกี้ชนิดนี้ ผู้ฟ้องร้องไม่ต้องการค่าเสียหายใดๆ
ทั้งสิ้นไม่เรียกสักดอล์ลาร์หรือสักเซ็นต์เดียว
ขอเพียงแค่เจ้าของผู้ผลิตคุกกี้ดำๆ คือบริษัท Kraft จะต้องเอา trans fat
ออกจากคุกกี้ชนิดนี้ให้หมดสิ้นเท่านั้นเอง
และคดีนี้ "ชนะ" เปิดฉากการต่อสู้ให้เกิดกฎหมาย ban trans >fatกันคึกคักในหลายประเทศขณะนี้
ผลิตภัณฑ์ที่หลายประเทศห้ามสั่งเข้ามาขาย เพราะคือ trans fat ตัวร้ายกาจ
คือ Shortening หรือ Crisco "เนยขาว" ที่เอามามาทำขนม นม เนย หวานอร่อย
เคลือบพิษไว้นั่นเอง
ยังมีอีกมาก ข้อมูลโหดๆแบบนี้ เหอะๆ
ใครสนใจจะไปอ่านให้ "หัวใจสั่น" เพิ่มเติมอีกได้ที่
http://www.bantransfats.comเมื่อคดี "คุกกี้ดำ" ชนะ กฎหมายก็สั่งการให้มีการระบุ trans fat
บนฉลากผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ ทันที
และผลิตภัณฑ์บางชนิดถูกห้ามใช้ trans fat โดยเด็ดขาด
ฉะนั้นจึงทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องขวัญผวา กินอะไรไม่ได้อีกต่อไป ทางเลือกที่จะทำให้เรารอดตาย ก็เพิ่มสูงมากขึ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขอบคุณคดี "คุกกี้ดำ" (ทนายเขาใช้วิธี "เขียนเสือ ให้วัวกลัว") ทำให้คนหลายคนบนโลกได้ตื่นขึ้นมาพร้อมความจริงข้อใหม่ว่า
เราไม่ควรประมาทมั่นใจในสิ่งที่เรากินเข้าไปทุกวัน
หากเราไม่ได้ปรุงไม่ได้ทำมันกับมือตัวเอง
อะแฮ่ม และไม่ว่าใครก็ตามที่โชคดีไม่เคยกินคุกกี้ดำมาก่อน
ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นเจ้า trans fat นี้ได้ง่ายๆ เพราะว่า trans fat เป็นส่วนผสมมากมายอยู่ทั้งในขนม นม เนย ที่มีมาร์การีนเป็นส่วนประกอบ
และของทอด ที่ต้องใช้น้ำมันทั้งหลายแหล่ ผลิตภัณฑ์อาหารที่ เสี่ยงต่อ Trans fat มีดังนี้เอย
อาหารนอกบ้านที่ไปซื้อเขากิน เราไม่รู้แน่ชัดว่าส่วนผสมเขาใช้อะไรบ้างใช้เนยสด หรือใช้มาร์การีนหรือเนยเทียม ใช้น้ำมันประเภทอะไร
ว่ากันว่าบรรดาอาหาร+ขนมไดเอททั้งหลายล้วนมี trans fat ผสมทั้งนั้น
กินแล้วไม่อ้วน ไขมันจุกตาย แต่หัวใจสลาย เอ้ย ล้มเหลวเพราะ trans fat แทน (ตอนนี้มาแรงกว่าโรคใดๆ)
เค้ก บิสกิต คุกกี้ ทุกชนิดที่ในสูตรมี เนยขาว ชอร์ทเทนนิ่งเป็นส่วนผสมล้วนอุดมไปด้วย trans fat
พวกขนมกรุบกรอบ-ซองๆ ของขบเคี้ยวกินเล่นทั้งหลาย อาทิ พวกมันฝรั่งต้องดูให้ดีว่าเขาใช้น้ำมันอะไรทอด เพราะนั่นก็ที่มาของ trans fat เช่นกัน (Frito Lay / Chee-tos / แครกเกอร์ไส้ชีส Ritz/ ถั่วทอด ถั่วอบกรอบ >เสี่ยงปริมาณ trans fat ทั้งสิ้น)
คอฟฟี่เมท ครีมเทียม วิปครีม ( ต้องเลือกดูตามฉลาก แต่ละยี่ห้อว่า >เขาใช้ส่วนผสมอะไร )
Crouton / น้ำสลัด สำเร็จรูป dips สำเร็จรูปทั้งหลาย ผงเกรวี่สำเร็จรูป / ซอส มิกซ์ต่างๆ
อาหารแช่แข็งแบบสำเร็จรูปที่เอามาอุ่นในไมโครเวฟแล้วกินได้เลย (ก็เข้าข่าย)
ซุปกระป๋อง / ซุปซองสำเร็จรูป / พีนัท บัตเตอร์ /ซีเรียลอาหารเช้า อาหารที่แยกย่อยให้อ่านดูเหล่านี้ต่างมีมาร์การีน / น้ำมันเป็นส่วนผสมหรือใช้ในการปรุง เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า เขาใช้น้ำมันอะไร หากเขาไม่ระบุแน่ชัดบนฉลาก อาจมี trans fat >ผสมอยู่ได้ทั้งสิ้น>เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่เคยกินคุกกี้ดำ แต่เคยกิน
วิปครีม> - ไอศกรีม> - ครัวซอง พาย ทัพ ชีสเค้ก
(ที่ใช้บิสกิต-คุกกี้ในส่วนที่เป็นครัสท์)>ก็อาจเสร็จ trans fat มาแล้วทั้งนั้น พวกอาหาร fast food
อาหารอุตสาหกรรมโรงงาน ขายด้วยปริมาณไม่เน้นคุณภาพ ตายห้าห้าห้า(หัวเราะก่อนตาย)
เขาล่อ trans fat มาให้เราเผลอกินโดยไม่รู้ตัวทั้งนั้น เชื่อ/ไม่เชื่อ
ไปดูตัวอย่างตารางเมนูอาหารที่ขายใน "แมคโดนัลด์" กันสิ > > กดลิงค์ดูกันจะๆ
http://www.mcdonalds.com/app_controller.nutrition.index1.htmlตะแคงหัวดูตรงส่วนที่เป็น trans fat สิว่า ...... บิ๊ก-แมค .....ชีสเบอร์เกอร์ 1 ชิ้น มี trans fat
ผสมอยู่เท่าไหร่
เฟรนช์ ฟรายขนาดใหญ่ 170 กรัม ... trans fat 8 กรรม
พายแอปเปิ้ล 1 ชิ้น 77 กรัม ... trans fat 4.5 กรรม
ไก่นักเก็ต 20 ชิ้น ... trans fat 5 กรรม
ข้อมูลที่เขาระบุไว้นี้ ไม่นานเท่าไหร่ เมื่อเดือน พ.ค. 2006 นี้เองนะ >นี่เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งของ trans fat>ตามร้านอาหาร(แค่แห่งเดียว)
ที่เราๆอาจไม่เคยรู้มาก่อน ยังมี ...ร้านโดนัท >...ร้านพิซซ่า ...ร้านปอเปี๊ยะทอด>ร้านหมี่ผัด take away chinese ...ทั้งหลายแหล่ที่เคยตรวจเจอ trans fat
มาแล้วทั้งนั้น อธิบายเพิ่มเติม ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่เลยไหม? แต่ไม่ต้องตกใจไปหรอก
น่าดีใจด้วยซ้ำที่ทนายเขาฟ้อง "คุกกี้ดำ" - ชนะ> ตอนนี้ผลิตภัณฑ์อาหารและร้านอาหาร "แหลกร่วน" ทั้งหลาย
ถูกไล่ตรวจการใช้น้ำมัน-มาร์การีนในสินค้าของว่ามี trans fat
มากมายหรือไม่ ถ้าพบว่า มีมากมาย ก็ต้องถูกเปลี่ยนและเลี่ยงไม่ให้ใช้ทันที ที่สำคัญที่สุด หากไม่เปลี่ยนส่วนผสม ยังคงใช้ trans fat ต่อไป >ก็ต้องระบุให้เห็นชัดๆ ห้ามปกปิดผู้บริโภคอีกต่อไป นี้ประเทศเดนมาร์ก
เป็นประเทศเดียวที่ออกกฎหมายห้ามใช้ trans fatในผลิตภัณฑ์ทุกชนิด แคนาดากำลังเดินหน้าปราบปราม trans fat ลำดับต่อไปประเทศในยุโรปหลายๆ
ประเทศกำลังเร่งผลิตกฎหมายออกมาควบคุม
ส่วนเมืองไทย คืบหน้าไปถึงไหน ไม่ทราบได้ รู้แต่ว่า อาหาร-เบเกอรี่อุตสาหกรรมที่วางขายทั่วไป ล้วนอุดมไปด้วย trans fat >เกือบทั้งสิ้น> แม่บ้านคนหนึ่ง (ในอเมริกา) เมื่อได้อ่านข้อมูล trans fat เธอไปเปิดคัพบอร์ดในครัว
แล้วอ่านฉลากอย่างละเอียดของที่เธอหยิบออกมาวางบนโต๊ะในรูป ล้วนมี trans fatทั้งสิ้น...ดูซะให้เต็มๆตาว่า มันแฝงอยู่ในอาหารมากมายแค่ไหน
ที่อเมริกาปัญหานี้ใหญ่โตนัก เพราะบริโภค fast food กันเป็นกิจวัตรและอาหาร diet ทั้งหลายที่โฆษณาว่าเลี่ยงใช้ไขมันที่ไม่ทำให้อ้วน ไม่เพิ่มแคลอรี่ส์ แต่กลับอุดมไปด้วย trans fat ซึ่งเป็นไขมันชนิดที่ร้ายแรงที่สุด ไว้แทน
รู้ได้ยังไง รูปประกอบค่ะ...การซ่อนจำนวน trans ราคำนวณหามันได้แบบนี้เวลาที่ฉลากระบุจำนวนไขมันไว้ว่า คำนวณจากคุกกี้ 5 ชิ้น >(16 กรัม)Total Fat 4 กรัม เป็นไขมันอิ่มตัว 1 กรัมแล้วอีก 3 กรัม
คืออะไรเขาไม่บอกชัดๆ ...เพราะมันคือ trans fat ค่ะนี่แหละที่มาแห่ง "คดีโอรีโอ" ที่เราต้องขอบคุณมากมาย>นี่คือ คำอธิบาย ไขมันทรานส์ ที่เราว่า เขียนอ่านง่ายที่สุดแล้ว
เอามาจากเว็บคุณหมอ thaiclinic เคยเขียนตอบไว้(trans = แปรสภาพ) เป็นไขมันที่คนเราทำขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ขบวนการสำคัญได้แก่การเติมไฮโดรเจน (hydrogenation) ให้กับโมเลกุลของคาร์บอนการเติมไฮโดรเจนทำให้น้ำมันเหลวแปรสภาพ กลายเป็นน้ำมันข้นขึ้น ขาวขึ้น
และละลายหรือปนกับน้ำได้ง่ายขึ้น เก็บได้ง่ายที่อุณหภูมิห้อง ไม่เสียง่าย และเก็บได้นานขึ้นคำกล่าวที่ว่าน้ำกับน้ำมันไม่มีวันเข้ากันได้ จะเปลี่ยนไปก็ตอนนี้เอง "ถ้านำน้ำมันมาเติมไฮโดรเจนเข้า >น้ำมันจะแขวนลอยในน้ำได้เปรียบคล้ายสบู่ที่แขวนลอยอยู่ในน้ำได้"
ครีมเทียมหรือคอฟฟี่เมตที่มีจำหน่ายประมาณครึ่งหนึ่งเป็นน้ำตาล
อีกครึ่งหนึ่งเป็นไขมันเติมไฮโดรเจนไปบางส่วน
ทำให้ไขมันบางส่วนแปรไปเป็นไขมันทรานส์ ตัวอย่างไขมันทรานส์
ไขมันทรานส์พบมากในครีมเทียม(คอฟฟี่เมต) เนยเทียม ขนมปังกรอบ (crackers)ขนมท้อฟฟี่ ขนมปังปิ้ง คุกกี้ ขนมสำเร็จรูป อาหารทอด สลัดน้ำข้น ฯลฯ>นอกจากนั้นการทำอาหารที่ใช้ความร้อนต่อเนื่องกันนานๆ
หรือน้ำมันทอดที่ใช้ซ้ำหลายครั้ง เช่น .......กล้วยทอด .......มันทอด ฯลฯ>มีส่วนทำให้เกิดไขมันทรานส์ได้> การใช้น้ำมันจึงควรใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งส่วนที่เหลือ
ต่อไปนี้ กฎหมายกำลังจะออกมาบังคับให้ทุกสินค้า>ต้องแจกแจง trans fat เป้งๆ ห้ามปกปิดข้อมูลผู้บริโภคอีกต่อไป
+++++++++++++++