ผู้เขียน หัวข้อ: 15/05/2552 [รวมกระทู้] โรคต่างๆ (คอมเมนท์ได้ตามปกติค่ะ)  (อ่าน 4706 ครั้ง)

aunza4701

  • สควิบ
  • **
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 56
  • รักเสมอ เดรโกร มัลฟอย
ลิ้นหัวใจเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจที่ทำหน้าที่คล้ายประต ูกั้นไม่ให้เลือดที่อยู่ในแต่ละห้องหัวใจ่ไหลย้อนกลับขณะที่ห้องหัวใจบีบตัว ลิ้นหัวใจจึงทำหน้าที่คล้ายประตู ปิด-เปิด ระหว่างห้องหัวใจตลอดเวลาตั้งแต่เกิด   หัวใจคนเรามีลิ้นหัวใจอยู่ 4 ตำแหน่ง คือ
                ไตรคัสปิด (Tricuspid) อยู่ระหว่าหัวใจห้องขวาบนและล่าง
                พูลโมนารี่ (Pulmonary) อยู่ระหว่างหัวใจห้องขวาล่างกับหลอดเลือดแดงที่ไปปอด
                ไมตรัล (Mitral) อยู่ระหว่างหัวใจห้องซ้ายบนและล่าง
                 เอออร์ติค (Aortic) อยู่ระหว่างหัวใจห้องซ้ายล่างกับหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงร่างกาย

ลักษณะของลิ้นหัวใจประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อเป็นแผ่น บางหรือหนา และจำนวนแผ่นเนื้อเยื่อจะขึ้นกับตำแหน่งของลิ้นหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจไมทรัล ซึ่งเป็นลิ้นที่มีความสำคัญมากลิ้นหนึ่งประกอบไปด้วยแผ่น (leaflet) 2 แผ่น เป็นรูปคล้ายอานม้า หนาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ส่วนของลิ้นเอออร์ติค เป็นจะแผ่นรูปเสี้ยงวงกลมบางๆ   จำนวน 3 แผ่น เป็นต้น แผ่นเหล่านี้ดูเหมือนอ่อนแอ ขาดง่าย แต่ความเป็นจริงแล้วมีความแข็งแรงมาก

ลิ้นหัวใจรั่ว

หัวใจห้องบน (ซ้ายหรือขวา) จะบีบตัวหลังจากลิ้นหัวใจเปิดออก เลือดจะไหลจากหัวใจห้องบนมายังห้องล่าง เมื่อเลือดไหลหมด แล้วหัวใจห้องล่าง (ซ้ายหรือขวา) จะบีบตัว แรงดันที่เกิดขึ้นจะดันให้ลิ้นหัวใจเคลื่อนมาชนกัน อยู่ในตำแหน่งที่ปิดสนิท ไม่มีเลือด ไหลย้อนกลับไปหัวใจห้องบนอีก ปรากฏการณ์นี้ก็เกิดเช่นเดียวกันกับลิ้นหัวใจที่กั้นระหว่างหัวใจกับหลอดเลือดแดงใหญ่ ปัญหาเกิดขึ้น เมื่อลิ้นหัวใจไม่สามารถเปิดได้อย่างเต็มที่ เนื่องจาก สาเหตุใดๆก็ตาม ทำให้เลือดไหลผ่านไม่สะดวก เราเรียกว่า "ลิ้นหัวใจตีบ" ซึ่งไม่ใช่ "หัวใจตีบ" หรือ "หลอดเลือดตีบ" และเมื่อถึงคราวต้องปิด แต่ปิดไม่สนิท มีรู หรือ ช่อง ให้เลือดไหลย้อนกลับได้ เราเรียกว่า "ลิ้นหัวใจรั่ว" ในหลายๆครั้งที่ลิ้นหัวใจอยู่ในสภาพที่แข็ง ปิดก็ปิดไม่สนิท เปิดก็ไม่ได้เต็มที่ นั่นคือ ทั้งตีบและรั่วในลิ้นเดียวกัน

สาเหตุของลิ้นหัวใจรั่ว

1     มีความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่เป็นมาแต่กำเนิดโดยอาจไม่มีอาการใดๆในวัยเด็กก็ได้
2    ลิ้นหัวใจเสื่อมตามอายุ เนื่องจากเป็นอวัยวะที่เคลื่อนไหวและรับแรงจากเลือดตลอดเวลา ดังนั้นจึงเกิดการเสื่อมขึ้น ลิ้นหัวใจ จะหนาตัวขึ้นและเริ่มมีหินปูน (calcium) เข้าไปสะสมในเนื้อเยื่อ ทำให้ปิดไม่สนิท
3    โรคหัวใจรูห์มาติคซึ่งเริ่มต้นจากการติดเชื้อ Streptococus ในคอ ซึ่งพบบ่อยในเด็ก ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ต่อต้านหัวใจตนเอง เกิดการอักเสบของลิ้นหัวใจ ผลตามมาคือลิ้นหัวใจหนาตัวขึ้นมาก เกิดลิ้นหัวใจตีบและรั่ว โรคนี้ยังจัดเป็นปัญหา สาธารณสุขของประเทศอยู่ พบบ่อยๆ ในผู้ป่วยเศรษฐานะต่ำ หรือ อยู่ในชุมชนแออัด
4   เกิดจากการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจทำให้ลิ้นหัวใจอักเสบเป็นรู เชื้อโรคอาจมาจากช่องปาก เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด  (ในผู้ติดยาเสพติด) การเจาะตามร่างกาย(เช่น เจาะลิ้น เจาะอวัยวะเพศ) เป็นต้น

ตรวจอย่างไร

การตรวจร่างกายจะให้การวินิจฉัยโรคได้ดี โดยจะได้ยินเสียงหัวใจผิดปกติ เรียกว่า "เสียงฟู่" หรือ murmur ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดขึ้นจาก ลิ้นหัวใจตีบก็ได้ รั่วก็ได้ แล้วแต่ตำแหน่งของลิ้นหัวใจ อย่างไรก็ตามเสียงฟู่ไม่ได้พบเฉพาะในโรคลิ้นหัวใจเท่านั้น ยังพบในหลายกรณี เช่น คนปกติบางราย คนตั้งครรภ์ ผนังกั้นห้องหัวใจรั่ว ฯลฯ

การตรวจพิเศษที่ช่วยในการวินิจฉัยลิ้นหัวใจรั่ว รวมทั้งสามารถบอกความรุนแรงและลักษณะของลิ้นหัวใจได้ดีที่สุด คือ การตรวจ ด้วยคลื่นสะท้อน หรืออัลตราซาวน์ เราเรียกการตรวจชนิดนี้ว่า เอคโค่ (echocardiogram)ซึ่งต้องอาศัยเครื่องมือ และ ความชำนาญของแพทย์ในการทำ และแปลผลด้วย บ่อยครั้งที่การใช้เครื่องมือ hi-tech นี้ก็มีผลเสีย เนื่องจากเครื่องมือมี "ความไว" เกินไป สามารถตรวจจับการ "รั่ว" เพียงเล็กน้อยได้ ซึ่งการรั่วเล็กน้อยเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเลย   แต่เมื่อแพทย์บอกผู้ป่วยไป ก็ทำให้เกิดความกังวลแก่ผู้ป่วยและญาติ (แต่ไม่บอกก็ไม่ได้เช่นกัน)

การตรวจเอกซ์เรย์ทรวงอก แม้จะไม่สามารถวินิจฉัยลิ้นหัวใจได้โดยตรง แต่ก็สามารถให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการบอกความรุนแรง ของปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ในสมัยก่อนเอกซ์เรย์ทรวงอกมีความสำคัญอย่างมาก และต้องถ่ายหลายๆท่าประกอบกัน แต่ในปัจจุบัน จำเป็นที่ต้องถ่ายหลายท่าลดลง เพราะ "เอคโค่" ให้รายละเอียดเกี่ยวกับลิ้นหัวใจโดยตรง

อาการเป็นอย่างไร

ลิ้นหัวใจรั่วเพียงเล็กน้อยจะไม่แสดงอาการใดๆ หรือแม้แต่รั่วมากในหลายๆรายก็ไม่แสดงอาการ อาการต่างๆจะปรากฏเมื่อหัวใจไม่สามารถทนรับกับ ปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นได้ต่อไปอีก อาการที่เกิดจึงเป็นอาการของภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) เช่น หอบเหนื่อย ขาบวม ใจเต้นเร็ว เป็นต้น ดังนั้นการตรวจร่างกาย หรือ ตรวจสุขภาพประจำปีเท่านั้นจึงสามารถบอกได้

รักษาอย่างไร

แม้ว่าลิ้นหัวใจทำหน้าที่คล้ายประตู แต่หากเปิด-ปิดไม่สะดวกก็ไม่สามารถรักษาด้วยการหยอดน้ำมันเหมือนประตูได้ ต้องเปลี่ยน อย่างเดียว หมายความว่า ต้องแก้ไขที่ตัวลิ้นหัวใจ จะด้วยการผ่าตัดซ่อมแซม หรือ ผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจก็ตาม แพทย์จะทำการผ่าตัด เฉพาะในรายที่ลิ้นหัวใจเสีย มากเท่านั้น ดังนั้น หากลิ้นหัวใจรั่วเพียงเล็กน้อยหรือปานกลาง แพทย์จะแนะนำให้ติดตามดูอาการ ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมในการผ่าตัดแก้ไข ซึ่งหลายๆราย เสียชีวิตด้วยโรคอื่นก่อนที่จะเสียชีวิตจากหัวใจ

ขอแนะนำ Link เกี่ยวกับการผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจ บทความจากมติชน ที่นี่

การปฏิบัติตัว

หากลิ้นหัวใจรั่วไม่มากก็สามารถมีกิจกรรมต่างๆได้ตามปกติ ส่วนถ้ารั่วมาก มักจะมีอาการหอบเหนื่อย ซึ่งก็ถูกจำกัดกิจกรรมต่างๆ ไปโดยปริยาย หัวใจท่านอ่อนแออยู่แล้ว ดังนั้นท่านต้องทะนุถนอมหัวใจท่านให้มากๆ ไม่ทำร้ายหัวใจด้วย อาหารเค็ม บุหรี่ อาหาร ไขมันสูง เหล้า-เบียร์-ไวน์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแย่ลง

สิ่งสำคัญประการหนึ่งในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของลิ้นหัวใจ คือ ต้องระวังการติดเชื้อ ดังนั้นหากจะทำฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน หรือ ทำผ่าตัดใดๆ ก็ต้องบอกแพทย์ให้ทราบด้วย เพื่อให้ยาป้องกันการติดเชื้อก่อน

หากท่านมีปัญหาสงสัยว่าตัวเองจะเป็นโรคหัวใจ หรือ มีลิ้นหัวใจรั่ว หรือ ไม่เคยตรวจสุขภาพเลย (เพราะคิดว่าแข็งแรง ไม่มีอาการ) อยากแนะนำให้ ท่านปรึกษาอายุรแพทย์ หรือ อายุรแพทย์โรคหัวใจ ใกล้บ้านท่าน ซึ่งปัจจุบันนี้มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ


ทีมา http://kimpiyada.212cafe.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 มิถุนายน 2009, 05:01:09 pm โดย ~ Chicken_rengeR ~ »

aunza4701

  • สควิบ
  • **
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 56
  • รักเสมอ เดรโกร มัลฟอย
15/06/2552::ความเครียด
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2009, 11:00:55 am »
ความเครียดสามารถเกิดได้ทุกแห่งทุกเวลาอาจจะเกิดจากสาเหตุภายนอกเช่น การย้ายบ้าน การเปลี่ยนงาน ความเจ็บป่วย การหย่าร้าง ภาวะว่างงานความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว หรืออาจจะเกิดจากภายในผู้ป่วยเอง เช่นความต้องการเรียนดี ความต้องการเป็นหนึ่งหรือความเจ็บป่วย ความเครียดเป็นระบบเตือนภัยของร่างกายให้เตรียมพร้อมที่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การมีความเครียดน้อยเกินไปและมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เข้าใจว่าความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีมันก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว แน่นท้อง มือเท้าเย็น แต่ความเครียดก็มีส่วนดีเช่น ความตื่นเต้นความท้าทายและความสนุก สรุปแล้วความเครียดคือสิ่งที่มาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งมี่ทั้งผลดีและผลเสีย

ชนิดของความเครียด

Acute stress คือความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีและร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นทันทีเหมือนกันโดยมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียด เมื่อความเครียดหายไปร่างกายก็จะกลับสู่ปกติเหมือนเดิมฮอร์โมนก็จะกลับสู่ปกติ ตัวอย่างความเครียด

เสียง
อากาศเย็นหรือร้อน
ชุมชนที่คนมากๆ
ความกลัว
ตกใจ
หิวข้าว
อันตราย
Chronic stress หรือความเครียดเรื้อรังเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นทุกวันและร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือแสดงออกต่อความเครียดนั้น ซึ่งเมื่อนานวันเข้าความเครียดนั้นก็จะสะสมเป็นความเครียดเรื้อรัง ตัวอย่างความเครียดเรื้อรัง
ความเครียดที่ทำงาน
ความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
ความเครียดของแม่บ้าน
ความเหงา
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด

เมื่อมีภาวะกดดันหรือความเครียดร่างกายจะฮอร์โมนที่เรียกว่า cortisol และ adrenaline ฮอร์โมนดังกล่าวจะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็วเพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายแข็งแรงและมีพลังงานพร้อมที่จะกระทำเช่นการวิ่งหนีอันตราย การยกของหนีไฟถ้าหากได้กระทำฮอร์โมนนั้นจะถูกใช้ไป ความกดดันหรือความเครียดจะหายไป แต่ความเครียดหรือความกดดันมักจะเกิดขณะที่นั่งทำงาน ขับรถ กลุ่มใจไม่มีเงินค่าเทอมลูก ความเครียดหรือความกดดันไม่สามารถกระทำออกมาได้เกิดโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้ฮอร์โมนเหล่านั้นสะสมในร่างกายจนกระทั่งเกิดอาการทางกายและทางใจ

ผลเสียต่อสุขภาพ

ความเครียดเป็นสิ่งปกติที่สามารถพบได้ทุกวัน หากความเครียดนั้นเกิดจากความกลัวหรืออันตราย ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะเตรียมให้ร่างกายพร้อมที่จะต่อสู้ อาการทีปรากฏก็เป็นเพียงทางกายเช่นความดันโลหิตสูงใจสั่น แต่สำหรับชีวิตประจำวันจะมีสักกี่คนที่จะทราบว่าเราได้รับความเครียดโดยที่เราไม่รู้ตัวหรือไม่มีทางหลีกเลี่ยง การที่มีความเครียดสะสมเรื้อรังทำให้เกิดอาการทางกาย และทางอารมณ์ อ่านรายละเอียดที่นี่

โรคทางกายที่เกิดจากความเครียด
 
โรคทางเดินอาหาร

โรคปวดศีรษะไมเกรน

โรคปวดหลัง

โรคความดันโลหิตสูง

โรคหลอดเลือดสมอง

โรคหัวใจ

ติดสุรา

โรคภูมิแพ้

โรคหอบหืด

ภูมิคุ้มกันต่ำลง

เป็นหวัดง่าย

อุบัติเหตุขณะทำงาน

การฆ่าตัวตายและมะเร็ง
 

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจากความเครียด

 คุณมีความเครียดหรือไม่

ถามตัวคุณเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่

อาการแสดงทางร่างกาย
 มึนงง ปวดตามกล้ามเนื้อ กัดฟัน ปวดศีรษะ แน่นท้อง เบื่ออาหาร นอนหลับยาก หัวใจเต้นเร็ว หูอื้อ มือเย็น อ่อนเพลีย ท้องร่วง ท้องผูก จุกท้อง มึนงง เสียงดังให้หู คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่อิ่ม ปวดท้อง
 
อาการแสดงทางด้านจิตใจ
 วิตกกังวล ตัดสินใจไม่ดี ขี้ลืม สมาธิสั้น ไม่มีความคิดริเริ่ม ความจำไม่ดี ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
 
อาการแสดงทางด้านอารมณ์
 โกรธง่าย วิตกกังวล ร้องไห้ ซึมเศร้า ท้อแท้ หงุดหงิด ซึมเศร้า มองโลกในแง่ร้าย นอนไม่หลับ กัดเล็บหรือดึงผมตัวเอง
 
อาการแสดงทางพฤติกรรม
 รับประทานอาหารเก่ง ติดบุหรี่สุรา โผงผาง เปลี่ยนงานบ่อย แยกตัว
 

การแก้ไขเมื่ออยู่ในภาวะที่เครียดมาก

หากท่านมีอาการเครียดมากและแสดงออกทางร่างกายดังนี้

อ่อนแรงไม่อยากจะทำอะไร

มีอาการปวดตามตัว ปวดศีรษะ

วิตกกังวล

มีปัญหาเรื่องการนอน

ไม่มีความสุขกับชีวิต

เป็นโรคซึมเศร้า

ให้ท่านปฏิบัติตามคำแนะนำ 10 ประการ

ให้นอนเป็นเวลาและตื่นเป็นเวลา เวลาที่เหมาะสมสำหรับการนอนคือเวลา 22.00น.เมื่อภาวะเครียดมากจะทำให้ความสามารถในการกำหนดเวลาของชีวิต( Body Clock )เสียไป ทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับหรือตื่นง่าย การกำหนดเวลาหลับและเวลาตื่นจะทำให้นาฬิกาชีวิตเริ่มทำงาน และเมื่อความเครียดลดลง ก็สามารถที่จะหลับได้เหมือนปกติ ในการปรับตัวใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ บางครั้งเมื่อไปนอนแล้วไม่หลับเป็นเวลา 45 นาที ให้หาหนังสือเบาๆมาอ่าน เมื่อง่วงก็ไปหลับ ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือให้ร่างกายได้รับแสงแดดยามเช้า เพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายปรับเวลา

หากเกิดอาการดังกล่าวต้องจัดเวลาให้ร่างกายได้พัก เช่นอาจจะไปพักร้อน หรืออาจจะจัดวาระงาน งานที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วนก็ให้หยุดไม่ต้องทำ

ให้เวลากับครอบครัวในวันหยุด อาจจะไปพักผ่อนหรือรับประทานอาหารนอนบ้าน

ให้เลื่อนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆในช่วงนี้ เช่นการซื้อรถใหม่ การเปลี่ยนบ้านใหม่ การเปลี่ยนงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดความเครียด

หากคุณเป็นคนที่ชอบทำงานหรือชอบเรียนให้ลดเวลาลงเหลือไม่เกิน 40 ชม.สัปดาห์

การรับประทานอาหารให้รับประทานผักให้มากเพราะจะทำให้สมองสร้าง serotonin เพิ่มสารตัวนี้จะช่วยลดความเครียด และควรจะได้รับวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณที่เพียงพอ

หยุดยาคลายเครียด และยาแก้โรคซึมเศร้า

ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอาจจะมีการเต้นรำด้วยก็ดี

หากปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวแล้วยังมีอาการของความเครียดให้ปรึกษาแพทย์

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเครียด

ความเครียดเหมือนกันทุกคนหรือไม่ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดในแต่ละคนไม่เหมือนกันและการตอบสนองต่อความเครียดก็แตกต่างในแต่ละคน
ความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีจริงหรือไม่ ความเครียดเปรียบเหมือนสายกีตาร์ ตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปเสียก็ไม่ไพเราะ เช่นกันเครียดมากก็มีผลต่อสุขภาพเครียดพอดีจะช่วยสร้างผลผลิต และความสุข
จริงหรือไม่ที่ความเครียดมีอยู่ทุกแห่งคุณไม่สามารถจัดการกับมันได้ แม้ว่าจะมีความเครียดทุกแห่งแต่คุณสามารถวางแผนที่จะจัดการกับงาน ลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนของงานเพื่อลดความเครียด
จริงหรือไม่ที่ไม่มีอาการคือไม่มีความเครียด ไม่จริงเนื่องจากอาจจะมีความเครียดโดยที่ไม่มีอาการก็ได้และความเครียดจะสะสมจนเกินอาการ
ควรให้ความสนใจกับความเครียดที่มีอาการมากๆใช่หรือไม่ เมื่อเริ่มเกิดอาการความเครียดแม้ไม่มากก็ต้องให้ความสนใจ เช่นอาการปวดศีรษะ ปวดท้องเพราะอาการเพียงเล็กน้อยจะเตือนว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินชีวิตเพื่อลดความเครียด
ความเครียดคือโรคจิตใช่หรือไม่ ไม่ใช่เนื่องจากโรคจิตจะมีการแตกแยกของความคิด บุคลิคเปลี่ยนไปไม่สามารถดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติ
ขณะที่มีความเครียดคุณสามารถทำงานได้อีก แต่คุณต้องจัดลำดับก่อนหลัง และความสำคัญของงาน
ไม่เชื่อว่าการเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียด การเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียดนั้น
ความเครียดไม่ใช่ปัญหาเพราะเพียงแค่สูบบุหรี่ความเครียดก็หายไป การสูบบุหรี่หรือดื่มสุราจะทำให้ลืมปัญหาเท่านั้นนอกจากไม่สามารถแก้ปัญหาแล้วยังก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย
เมื่อใดต้องปรึกษาแพทย์

เมื่อคุณรู้สึกเหมือนคนหลงทางหาทางแก้ไขไม่เจอ
เมื่อคุณกังวลมากเกินกว่าเหตุ และไม่สามารถควบคุม
เมื่ออาการของความเครียดมีผลต่อคุณภาพชีวิตเช่น การนอน การรับประทานอาหาร งานที่ทำ ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้าง


ที่มา  www.kimpiyada.212.cafe.com

aunza4701

  • สควิบ
  • **
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 56
  • รักเสมอ เดรโกร มัลฟอย
15/06/2552::โรคปอด
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2009, 11:07:24 am »
โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคปอด เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด ที่นำผู้ป่วยมาหาแพทย์ และเป็นโรคที่เป็นสาเหต ุของการตายของประชากรโลกสูงมาก อยู่ในอันดับต้นๆ นอกจากนั้นแล้ว  ยังเป็นโรคที่สร้างปัญหา ทางเศรษฐกิจของครอบครัว และของประเทศ ที่ต้องให้การรักษา อาการป่วยเรื้อรัง เนื่องจากปอดพิการ ทำให้มีอาการเหนื่อย หอบหายใจลำบาก  เป็นผลมาจาก ผู้ป่วยมารักษาช้าไป ในสหรัฐฯ เพียงแค่โรคหลอดลม อักเสบเรื้อรัง และถุงลมปอดโป่งพอง เพียงโรคเดียว ประเมินว่า ต้องเสียค่าใช้จ่ายถึงปีละ US$ 20,000 ล้าน  ถ้าจะคิดเป็นเงินไทย ก็คูณด้วย 40 บาท ในประเทศไทยก็มีแนวโน้มแบบเดียวกัน

หน้าที่ของปอด
 

 

ร่างกายต้องใช้ออกซิเจน เพื่อการดำรงชีวิต ออกซิเจนที่มีอยู่ในอากาศ จะเข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจเข้าไป ออกซิเจนจะไหลผ่าน จมูก ลำคอ หลอดลม เข้าไปถึงปอด  และซึมเข้าสู่กระแสเลือด ที่ไหลมายังปอด เพื่อนำไปเลี้ยงร่างกาย นอกจากนั้น เลือดยังนำของเสีย ที่ร่างกายสร้างขึ้น คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มายังปอด  และขับถ่ายทิ้งไปทางลมหายใจออก (รูปที่1) การแลกเปลี่ยนก๊าซทั้งสอง ต้องอาศัยปอด ต้องทำงานได้ตามปกติ ถ้าปอดพิการทำงานไม่ได้ตามปกติ เราจะมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก  เพราะต้องออกแรงหายใจเพิ่มขึ้น เพื่อให้ร่างกาย ได้รับออกซิเจนให้พอใช้ และในที่สุด เราอาจตายได้ จากร่างกายขาดออกซิเจน หรือจากคาร์บอนไดออกไซด์ คั่งในเลือด  ซึ่งทำให้เกิดม ีภาวะกรดเกิน เพราะหายใจได้ไม่พอ ระบบทางเดินหายใจ และปอด เป็นอวัยวะที่เสี่ยง ต่อการเกิดโรค และเสื่อมสมรรถภาพ

ระบบทางเดินหายใจ และปอด ก็เหมือนอวัยวะอื่นๆ คือ มีการเสื่อมลง ตามอายุขัย ปกติเราหายใจเข้าออก ครั้งละประมาณ 300-500 ลบ.ซม. หายใจนาทีละ 10-20 ครั้ง หรือนาทีละ 5-10 ลิตร ประมาณว่า เราหายใจเข้าออกวันละ 8000-12000 ลิตร โชคไม่ดี ที่อากาศที่เราหายใจเข้าไป ไม่บริสุทธิ์ ที่เรียกว่ามี มลภาวะเป็นพิษ โดยที่ในอากาศมีสาร และก๊าซที่เป็นอันตราย ต่อทางเดินหายใจ และปอดเมื่อหายใจเข้าไป  ยิ่งเราอาศัยอยู่ในเมือง ยิ่งได้รับพิษนี้มากขึ้น นอกจากนั้น การสูบบุหรี่ นัดยานัตถุ์ และทำงาน ในโรงงานอุตสาหกรรม หลายประเภท ก็ทำให้มีมลภาวะ เป็นพิษเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบ  และทำให้ทางเดินหายใจ และปอดเสื่อมเร็วกว่าที่ควร หรือทำให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะในปอด นอกจากนั้น ในอากาศยังมีเชื้อโรค เชื้อไวรัส และเชื้ออื่นๆ ที่เมื่อหายใจเข้าไป ทำให้เกิด โรคในปอดที่พบบ่อย คือ เชื้อวัณโรค

อาการของโรคปอดเป็นอย่างไร และทำไมควรต้องตรวจพบในระยะแรก
อาการของโรคปอด คือ อาการเหนื่อยง่าย โดยเฉพาะเอกซเรย์ และตรวจคลื่นหัวใจแล้วพบว่า หัวใจปกติ ไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะ และอาจมีไอเป็นเลือด เจ็บหน้าอก แต่บ่อยๆ ที่โรคปอด จะไม่แสดงอาการ แต่เมื่อแสดงอาการ ก็อาจสายเกินไป อาจรักษาไม่หายขาด หรือแม้ว่าจะหาย แต่มีการทำลายเนื้อปอดมาก ทำให้มีอาการปอดพิการได้ โดยเฉพาะถ้ารักษาช้าไป  หรือรักษาไม่ถูกวิธี ผู้ป่วยพวกนี้ ถึงแม้จะหายจากโรค แต่ก็ต้อง ทนทุกข์ทรมาน จากปอดทำหน้าที่ได้ไม่เพียงพอ โรคปอดเรื้อรังที่เมื่อเป็นแล้วมักไม่มีอาการในระยะแรก  แต่เมื่อมีอาการ ก็มักจะสายเกินไป ที่จะรักษาให้หายขาดได้ หรือให้ปอด กลับมาทำงานได้ตามปกติ ที่พบบ่อย 4 โรค คือ

วัณโรค (Tuberculosis)
หลอดลมอักเสบเรื้อรังและถุงลมปอดโป่งพอง
(Chronic bronchitis and Emphysema หรือ COPD)
มะเร็งในปอด (Lung cancer)
โรคหอบหืด (Bronchial asthma)
 

 เป็นเอกซ์เรย์ปอดของผู้ป่วย ที่เป็นวัณโรคในระยะรุนแรงที่ปอดกลีบบนขวา แม้จะมีโรคระยะรุนแรงก็ตาม แต่ผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก กลับไม่มีอาการอะไรเลย บ่อยๆ ที่เราตรวจพบ ผู้ป่วยพวกนี้โดยบังเอิญ ผู้ป่วยพวกนี้มีอันตรายมาก เพราะโรคนั้นยิ่งทิ้งไว้นาน ยิ่งทำลายปอดเรามากขึ้น ในภายหลังแม้รักษาโรคหาย แต่ผู้ป่วยก็อาจมีชิวิตอยู่ได้ ด้วยความลำบาก  เพราะปอดทำหน้าที่ได้ไม่พอ นอกจากนั้น ยังสามารถแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่น ที่อยู่ใกล้ตัวได้อีกด้วย ให้นึกถึงว่า ในคนปกติเรา ตัดปอดไปหนึ่งข้าง หลังผ่าตัด ผู้ป่วยจะยังไม่เหนื่อย  และส่วนใหญ่ กลับไปทำงานได้ตามเดิม ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคปอด ถ้ามีอาการเหนื่อยแสดงว่าปอดเสียไปเกินกว่าครึ่งแล้ว

 

 ผู้ที่ได้รับเชื้อวัณโรค ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย คล้ายเป็นหวัด ในคนปกติที่ได้รับเชื้อ มีเพียงประมาณ 5%เท่านั้น ที่เป็นวัณโรค ส่วนอีก 95% โรคจะหายไปเอง  บางรายจะเหลือเป็นแผลเป็น เป็นเงาสีขาวในปอดให้เห็น ดังในรูปเอกซเรย์ (ตรงลูกศรชี้) พวกป่วยพวกนี้อาจมีการ กำเริบเกิดเป็นวัณโรคได้ภายหลัง

 

 เป็นเอกซเรย์ปอด ของผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งในปอดซ้าย (ปลายลูกศรชี้) ผู้ป่วยพวกนี้ มักไม่มีอาการในระยะแรก ซึ่งเป็นระยะที่รักษาหายขาดได้มาก ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปอด  และมีอาการแล้วโ อกาสรักษาหายขาดน้อยมาก ถ้าเอกซเรย์ ไม่มีก้อนเนื้อในปอดให้เห็น บอกได้ว่าผู้ป่วยไม่มีมะเร็งของปอด (ผลแน่นอนเกือบ100%)

 

 เป็นรูปวาดแสดงมะเร็งของปอด (Cancerous mass) ในปอดซ้ายบน ในภาพแสดงให้เห็นว่า มะเร็งจะแพร่กระจาย ไปตามกระแสน้ำเหลือง ไปสู่ต่อมน้ำเหลืองในทรวงอก  มะเร็งจะรักษาหายขาดได้ ต้องตัดออกได้หมด ในกรณีนี้ สายเกินไปที่จะรักษา ให้หายขาดได้บ่อยๆ ผู้ที่เป็นมะเร็งปอดตรวจพบ และรักษาให้หายขาดได้  เนื่องจากมาตรวจสุขภาพ หรือตรวจพบโดยบังเอิญ

 


 

 ซึ่งเป็นปอดผู้ป่วยที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง จะเห็นเนื้อปอด มีรูพรุนสีดำ ซึ่งก็คือ ส่วนของเนื้อปอดที่ถูกทำลาย

การตรวจเอกซ์เรย์ปอดและการตรวจสมรรถภาพปอด
 

 เป็นเอกซ์เรย์ปอด ของผู้ป่วยซึ่งสูบบุหรี่มานาน แต่ไม่มีอาการอะไรผลต้องอ่านว่าปอดปกติ

 

 ผลการตรวจปอด เมื่อผู้ป่วยคนเดียวกัน เมื่อตายแล้วจะเห็นได้ว่าปอดมีถุงลมโป่งพอง คือ บริเวณรูสีดำๆ ที่ลูกศรชี้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เอกซเรย์ปอดอย่างดียว ไม่ไวพอ ที่จะตรวจพบ โรคถุงลมปอดโป่งพอง ในระยะแรก โรคของหลอดลม เช่น โรคหอบหืด เกือบทั้งหมดเอกซ์เรย์ปอดจะปกติ ผู้ป่วยพวกนี้ การตรวจสมรรถภาพปอด  จะไวกว่าเอกซ์เรย์มาก ในการวินิจฉัยโรค

 

 เป็นรูปเครื่องตรวจ สมรรถภาพปอดที่ทันสมัย ซึ่งในประเทศไทยมีโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือชนิดนี้ ใช้อยู่ไม่กี่แห่ง โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน เครื่องมือนี้เรียกว่า เครื่อง Pletysmograph มีความแน่นนอนของผลตรวจสูง ทำง่าย และตรวจสมรรถภาพปอดได้เกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะที่ต้องการผล สำหรับการรักษาผู้ป่วย และใช้ในงานวิจัยได้ด้วย เช่น วัดหาปริมาตรปอด การแลกเปลี่ยนก๊าซ์ในปอด ตรวจได้มากกว่าเครื่องมือที่เรียกว่า Spirometer ซึ่งใช้กันทั่วไป ผลการตรวจจาก Spirogram ที่ออกมาจะเป็น 4 แบบ คือ

ผลปกติ (Normal)
ผลเป็นแบบหลอดลมอุดตัน (Obstructive Pulmonary Disease)
ผลเป็นแบบปริมาตรปอดเล็กลง จะเป็นสาเหตุจากอะไรก็ได้ (Restrictive Pulmonary Disease)
ผลที่มีการผิดปกติทั้งสองแบบร่วมกัน (Mixed Pattern)
การวัดโดยการบันทึกอัตราความเร็วการไหลของอากาศปริมาตรของอากาศ และเวลาที่ทดลองเป่า


 

 เป็นรูปตัวอย่างผลการบันทึกที่ได้ที่เราเรียกว่า Flow-Volume Loop การตรวจหาโรคปอด ในระยะแรกทำได้ง่าย ค่าใช้จ่ายไม่สูง ไม่เจ็บตัว  เพียงแต่ท่าน เสียเวลามาตรวจ เอกซเรย์ปอด ตรวจสมรรถภาพปอด และพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางปอด ให้ซักประวัติ และตรวจร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมง ท่านก็จะมั่นใจได้ว่า ท่านมีโรคปอดที่รุนแรงหรือไม่

ใครบ้างควรได้รับการตรวจ
1. ผู้ที่มีอาการทางระบบหายใจ ได้แก่ :

ผู้ที่มีอาการไอเรื้อรัง โดยเฉพาะไอมีเสมหะ ไอมีเลือดออกมาด้วย
เหนื่อยง่าย โดยเฉพาะตรวจทางหัวใจแล้วปกติ หรือหายใจมีเสียงหืด
เจ็บหน้าอก โดยเฉพาะหายใจแล้วเจ็บมากขึ้น
2. ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง ได้แก่ :

ผู้ที่สูบบุหรี่ นัดยานัตถุ์ ใช้ยาเสพติด
ทำงานในโรงงานที่มีมลภาวะ มีควัน มีก๊าซเคมีที่เป็นพิษต่อทางเดินหายใจ และปอดเมื่อหายใจเข้าไป
ทำงานในเหมืองแร่ โรงโม่หิน โรงผลิตซีเมนต์
ทำงานในบรรยากาศ และอาจเปื้อนปนหายใจเอาสารกัมมันตภาพเข้าไป
โรงงานอุตสาหกรรมมากมาย ที่ต้องใช้สารแอสเบสตอส (Asbestos fiber) เช่น อุ ต สาหกรรมรถยนต์ ตู้เย็น ฯลฯ
ผู้ได้รับการรักษาโดยการฉายแสงบริเวณทรวงอก
ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันการติดเชื้อต่ำ
ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคที่อยู่ในระยะติดต่อ


ที่มา  หนังสือเรื่อง ปอด ปอด ปอด สิ่งสำคัญในร่างกาย

aunza4701

  • สควิบ
  • **
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 56
  • รักเสมอ เดรโกร มัลฟอย
15/06/2552::โรคเบาหวาน
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2009, 11:12:41 am »
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง และก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดปัญหากับ ฟันและเหงือก ตา ไต หัวใจ หลอดเลือดแดง ท่านผู้อ่านสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆได้โดยการปรับ อาหาร การออกกำลังกาย และยาให้เหมาะสม ท่านผู้อ่านสามารถนำข้อเสนอแนะจากบทความนี้ไปปรึกษากับแพทย์ที่รักษาท่านอยู่ ท่านต้องร่วมมือกับคณะแพทย์ที่ทำการรักษาเพื่อกำหนดเป้าหมายการรักษา บทความนี้เชื่อว่าจะช่วยท่านควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น

โรคเบาหวานคืออะไร

อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน อินซูลินเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอยู่เป็นเวลานานจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท

ฮอร์โมนอินซูลินมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร

อินซูลินเป็นฮอร์โมนสำคัญตัวหนึ่งของร่างกาย สร้างและหลั่งจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน ทำหน้าที่เป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต ถ้าขาดอินซูลินหรือการออกฤทธิ์ไม่ดี ร่างกายจะใช้น้ำตาลไม่ได้ จึงทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมีอาการต่างๆของโรคเบาหวาน นอกจากมีความผิดปกติของการเผาผลาญอาหารคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยังมีความผิดปกติอื่น เช่น มีการสลายของสารไขมันและโปรตีนร่วมด้วย

อาการของโรคเบาหวาน

คนปกติก่อนรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือด 70-110 มก.% หลังรับประทานอาหารแล้ว 2 ชม.ระดับน้ำตาลไม่เกิน 140 มก.% ผู้ที่ระดับน้ำตาลสูงไม่มากอาจจะไม่มีอาการอะไร การวินิจฉัยโรคเบาหวานจะทำได้โดยการเจาะเลือด อาการที่พบได้บ่อย

คนปกติมักจะไม่ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะในเวลากลางดึกหรือปัสสาวะอย่างมากไม่เกิน 1 ครั้ง เมื่อน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่า180มก.% โดยเฉพาะในเวลากลางคืนน้ำตาลจะถูกขับออกทางปัสสาวะทำให้น้ำถูกขับออกมากขึ้น จึงมีอาการปัสสาวะบ่อยและเกิดการสูญเสียน้ำ และอาจจะพบว่าปัสสาวะมีมดตอม
ผู้ป่วยจะหิวน้ำบ่อยเนื่องจากต้องทดแทนน้ำที่ถูกขับออกทางปัสสาวะ
อ่อนเพลีย น้ำหนักลดเกิดเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลจึงย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา
ผู้ป่วยจะกินเก่งหิวเก่งแต่น้ำหนักจะลดลงเนื่องจากร่างกายน้ำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ จึงมีการสลายพลังงานจากไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อ
อาการอื่นๆที่อาจเกิดได้แก่ การติดเชื้อ แผลหายช้า คัน
คันตามผิวหนัง มีการติดเชื้อรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องคลอดของผู้หญิง สาเหตุของอาการคันเนื่องจากผิวแห้งไป หรือมีการอักเสบของผิวหนัง
เห็นภาพไม่ชัด ตาพร่ามัวต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงสายตา เช่นสายตาสั้น ต่อกระจก น้ำตาลในเลือดสูง
ชาไม่มีความรู้สึก เจ็บตามแขนขาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากน้ำตาลสูงนานๆทำให้เส้นประสาทเสื่อม เกิดแผลที่เท้าได้ง่าย เพราะไม่รู้สึก
อาเจียน
น้ำตาลในกระแสเลือดสูงเมื่อเป็นโรคนี้ระยะหนึ่งจะเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดกับหลอดเลือดเล็กเรียก microvacular หากมีโรคแทรกซ้อนนี้จะทำให้เกิดโรคไต เบาหวานเข้าตา  หากเกิดหลอดเลือดเลือดแดงใหญ่แข็งเรียก macrovascular โดยจะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อัมพาต หลอดเลือดแดงที่ขาตีบนอกจากนั้นยังอาจจะเกิดปลายประสาทอักเสบneuropathic ทำให้เกิดอาการชาขา กล้ามเนื้ออ่อนแรง ประสาทอัตโนมัติเสื่อม

ใครมีโอกาสเป็นโรคเบาหวาน

สาเหตุของการเกิดโรคเบาหวานยังไม่ทราบแน่นอนแต่องค์ประกอบสำคัญที่อาจเป็นต้นเหตุของการเกิดได้แก่ กรรมพันธุ์ อ้วน ขาดการออกกำลังกาย หากบุคคลใดมีปัจจัยเสี่ยงมากย่อมมี่โอกาสที่จะเป็นเบาหวานมากขึ้น ปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานได้แสดงข้างล่างนี้

ใครที่ควรจะต้องเจาเลือดหาโรคเบาหวาน

 ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สองพบมากและมักจะวินิจฉัยไม่ได้ในระยะแรก การที่มีภาวะน้ำตาลสูงเป็นเวลานานๆทำให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะต่างๆเช่น ตา หัวใจ ไต เส้นประสาท เส้นเลือด นอกจากนี้ยังพบว่ามีโรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในโลหิตสูงร่วมด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการวินิจฉัยให้เร็วที่สุดเพื่อลดภาวะแทรกซ้อน การตรวจคัดกรองเบาหวานในผู้ใหญ่ที่ไม่มีอาการ

ที่มา www.kimpiyada.212.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 มิถุนายน 2009, 12:18:45 pm โดย aunza4701 »

TricksteR

  • มนุษย์หมาป่า
  • ******
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 301
Re: 15/05/2552 [รวมกระทู้] โรคต่างๆ (คอมเมนท์ได้ตามปกติค่ะ)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2009, 02:00:21 pm »
โอ้ว สารพัดโรคเลย เหอะๆ ขอบคุณที่นำมาฝาก^^

lupin

  • -
  • มักเกิ้ล
  • *
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 16
  • กราบสวัสดีงามๆ
    • -
Re: 15/05/2552 [รวมกระทู้] โรคต่างๆ (คอมเมนท์ได้ตามปกติค่ะ)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2009, 08:53:10 am »
โอ้ว สารพัดโรคเลย เหอะๆ ขอบคุณที่นำมาฝาก^^

ถ้ามีใครเปนเนอะ

ไม่รอด

ลูปินมาคอมเม้นเพื่อสุขภาพ

บายย
-

pinkky_love

  • เพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่
  • นักกีฬาควิดดิชทีมชาติ ตำแหน่งคีปเปอร์
  • **********
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1700
  • ทีมนี้..เป็นทีมที่ดีที่สุด! ^o^ คิดถึงริวจังจังเลย
    • sakaguchikenji
Re: 15/05/2552 [รวมกระทู้] โรคต่างๆ (คอมเมนท์ได้ตามปกติค่ะ)
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 28 มิถุนายน 2009, 06:07:35 am »
ขอบคุณที่นำความรู้ดีๆมาฝากค่ะ

PON EILEEN SNAPE

  • LOVE HARRY POTTER ALWAYS
  • นักเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ปี 3
  • ********
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 605
  • I LOVE SEVERUS SNAPE
Re: 15/05/2552 [รวมกระทู้] โรคต่างๆ (คอมเมนท์ได้ตามปกติค่ะ)
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2009, 03:17:37 am »
โอ้ เรื่อง ความเครียด  ท่าทางจะเป็นแล้วนะเนี่ย 55+ อาการแสดงทางด้านจิตใจ วิตกกังวล ตัดสินใจไม่ดี ขี้ลืม บ่อยมาก โดยเฉพาะ ขี้ลืม

เหะๆๆ (ประจารตัวเองชัดๆ) ขอบคุณที่นำมาฝากนะค่ะ   
  :P

Kingdom Gryfindor

  • Kingdom Gryffindor
  • มักเกิ้ล
  • *
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 43
  • G R Y F F I N D O R
Re: 15/05/2552 [รวมกระทู้] โรคต่างๆ (คอมเมนท์ได้ตามปกติค่ะ)
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2009, 05:06:02 am »
ขอบคุณสำหรับความรู้ทั้งหมดครับ เผ่อเป็นอะไรไปจะนำไปใช้ดูครับ

MaGiC PiNk !!

  • จงรีบทำในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ ก่อนที่จะสายเกินไป
  • นักเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ปี 3
  • ********
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 663
  • Love Harry 4 Ever
Re: 15/05/2552 [รวมกระทู้] โรคต่างๆ (คอมเมนท์ได้ตามปกติค่ะ)
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2009, 04:12:18 am »
เด็กที่เป็นโรคหัวใจรั่ว

ตั้งแต่กำเนิดน่าสงสารมากเลย

 :(

ขอบคุณที่นำมาฝากกันค่ะ
Happy and Smile

[ นังนู๊วนุ๊ก ]

  • >>>อยากบอกว่าฉันเสียใจได้ยินไหม<<<
  • สควิบ
  • **
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 88
  • นุ๊กง่า
Re: 15/05/2552 [รวมกระทู้] โรคต่างๆ (คอมเมนท์ได้ตามปกติค่ะ)
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2009, 04:08:50 am »
ขอบคุณนะค่ะที่นำมาฝากพวกเรา โห๋ย~น่ากลัวทั้งนั้นเลย
นังนู๊วนุ๊ก

Mint Luna

  • สควิบ
  • **
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 94
  • ฉัน~คือจอมเพี้ยน~แห่งเรเวนคลอ
Re: 15/05/2552 [รวมกระทู้] โรคต่างๆ (คอมเมนท์ได้ตามปกติค่ะ)
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 26 กรกฎาคม 2009, 11:29:20 am »
ขอบคุณมากเลยนะคะ

สำหรับข้อมูลดีๆจะได้ระวังตัวไว้

คร้า :) :)
สวัสดีจร้าอยุ่บ้านเรเวนคลอจร้า  เหยี่ยวสีน้ำเงิน Am love luna

love hermiony

  • บุคคลทั่วไป
Re: 15/05/2552 [รวมกระทู้] โรคต่างๆ (คอมเมนท์ได้ตามปกติค่ะ)
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 05 กันยายน 2009, 09:46:04 am »
เด็กที่เป็นโรคหัวใจรั่ว

ตั้งแต่กำเนิดน่าสงสารมากเลยงะ

ฮือ...ฮือ....ฮือ....

De_PaKaPol

  • ผู้วิเศษเลือดบริสุทธิ์
  • *****
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 205
Re: 15/05/2552 [รวมกระทู้] โรคต่างๆ (คอมเมนท์ได้ตามปกติค่ะ)
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2009, 11:05:03 am »
ขอบคุณครับที่นำมาฝาก   :D

 

SMF spam blocked by CleanTalk