"จากตอนเด็กๆ น้ำแข็งจะเป็นเด็กกิจกรรมชอบทำกิจกรรมมาก มันมาจากเราชอบทำอะไรที่ทำให้คนรู้จักเรา นั่นคือสิ่งที่เราอยากได้อยากเป็น อยากให้คนรัก ตอนอยู่ม.ปลายก็ได้เป็นประธานนักเรียน อาจารย์รัก แต่เพื่อนไม่ชอบ เราก็ไม่รู้ตัวเลย จนกระทั่งเพื่อนหายไปหมด พอสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราได้ไปเรียนอยู่ที่ ม.บูรพา ได้อยู่คณะที่เราไม่ชอบเลย ตอนนั้นอยากเรียนนิเทศฯมากกว่า แต่ต้องไปเรียนปรัชญา รู้สึกว่าไม่อยากเรียน ไม่อยากอยู่กับเพื่อนที่ภาค เขาไม่เห็นเหมือนเรา เวลาทำงานกลุ่มเพื่อนก็ไม่เคยเรียกเรา เราก็เริ่มรู้สึกแล้วก็คิดว่าเราจะเข้าหาเขาได้ยังไง แล้วตอนนั้นก็เรียนไปทำงานไป หาเงินเอง แล้วค่อนข้างติดหรู เรียกว่าสร้างภาพก็ได้ อยากให้คนมองว่าดูดี รวย สวย จนกระทั่งมีปัญหากับเพื่อน เงินเค้าหายไป แล้วเค้าว่าเราเอาไป เพื่อนคนอื่นๆก็คิดแบบนั้น เค้าให้เวลาน้ำแข็ง 1 ชั่วโมงให้เก็บของออกไป ตอนนั้นแย่มากๆทำไมเพื่อนคิดกับเราแบบนี้ บอกเค้าว่าเงินแค่นี้ ทำไมถึงคิดว่าเราเอาไป อึ้งที่สุดตอนที่เพื่อนบอกว่า เธอน่ะ..เท่าไรก็ไม่พอหรอก"
จากชีวีตที่มีพร้อม..มากลายเป็นแทบไม่เหลือใคร
น้ำแข็งเป็นลูกคนเล็ก ช่วงชีวิตที่มีความสุขมากที่สุดคือ ตั้งแต่เกิดจนถึง 7 ขวบ เป็นตอนที่พ่อเริ่มเล่นการเมือง ครอบครัวก็เลยมีปัญหาเรื่องการเงิน แล้วพ่อกับแม่ก็หย่ากันตอน 10 กว่าขวบ เลยอยู่กับพ่อและแม่สลับกัน แต่ชอบอยู่กับพ่อมากกว่า พ่อจะชอบเด็กเรียนเก่ง ก็เรียนอย่างเดียว แต่พอมาอยู่กับแม่ ทางบ้านแม่จะชอบเด็กเรียบร้อย ช่วยงานบ้าน ซึ่งเราไม่ชอบ ชอบเรียนหนังสือ ทำกิจกรรมที่โรงเรียน กลับบ้านเลยถูกบ่น ไม่ชอบอยู่บ้านเลย
พออยู่มัธยม ช่วงที่พ่อกับแม่เขากลับมาคุยกันแล้วบอกเราว่าจะกลับมาอยู่ด้วยกันใหม่นะ เราก็ดีใจมากเลย วันที่พ่อจะกลับไปเอาของที่บ้านพ่อที่เชียงราย พี่ชายของน้ำแข็งก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งพ่อที่ท่ารถ แล้วเกิดอุบัติเหตุ พ่อเสียชีวิตแต่พี่โขงเป็นเจ้าชายนิทรา หลังจากพ่อเสียก็มีหนี้ของพ่ออยู่แล้ว พี่ชายก็เป็นเจ้าชายนิทราต้องนอนอยู่โรงพยาบาลเอกชนทั้งปี ที่บ้านก็ต้องใช้เงินเยอะมาก ตอนหลังก็ย้ายพี่มาอยู่โรงพยาบาลที่แม่เป็นพยาบาลอยู่ แม่ต้องอยู่กับพี่ตลอด แม่รับภาระทั้งหมดแล้วเราต้องอยู่บ้านคนเดียว เลิกจากโรงเรียน ไปอาบน้ำเช็ดตัวให้พี่ชาย แล้วก็เอาเสื้อผ้ากลับไปซักที่บ้าน แม่ไม่มีเวลาเหลือให้เราอีกแล้ว
พออยู่บ้านก็จะเหงา เริ่มหาเพื่อนคุย เล่นอินเตอร์เนต คุยโทรศัพท์กับใครบ้างก็ไม่รู้ คุยทุกวันจนค่าโทรศัพท์ออกมาเดือนนั้น 20,000 กว่าบาท จากที่วันๆไม่ค่อยได้คุยกับแม่ คราวนี้พอได้พูดก็ทะเลาะกันเลย ญาติก็ว่าเราเป็นเด็กนิสัยเสีย แม่ก็แย่อยู่แล้วยังสร้างปัญหาให้แม่อีก ตอนนั้นรู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้เหงาก็เลยต้องหาอะไรทำ อ่านหนังสือเยอะเลยเป็นคนเรียนเก่ง ครูจะส่งออกไปส่งตอบคำถามหรือสอบแข่งขันกับที่อื่น แต่เราไม่มีเงินไปทำกิจกรรม ก็เลยคิดว่าไม่อยากเป็นอย่างนี้เลย ทำอะไรก็ได้ที่ได้เงิน ก็รับจ้างเพื่อนทำรายงาน ทำการบ้าน ทำการ์ดบ้าง จนมีครั้งนึงทำแผนที่ให้เพื่อวิชาภูมิศาสตร์ แล้วถูกครูดุมากเลยเป็นเรื่องใหญ่มาก ตอนหลังอาจารย์เค้าจะช่วยหารายงานให้ทำ หางานให้ทำจะได้ไม่ต้องรับจ้างเพื่อนทำการบ้านอีก
พี่ชายนอนป่วย 5 ปี เป็น 5 ปีที่มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย แม่มีหนี้เพิ่มขึ้น รวมกับของพ่อเดิมอีก แม่ต้องดูแลพี่แล้วก็ค่าใช้จ่ายทั้งหมด จนทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่มีใครเลย พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ พี่ชายก็อายุ 20 ปี ก็เริ่มเบิกค่ารักษาพยาบาลไม่ได้แล้ว ก็เลยทำงาน ตอนเรียนที่ม.บูรพา ก็รู้สึกว่าดูแลตัวเองได้ แล้วเป็นคนหัวสูง อยากใช้แต่ของดีดี ของหรูๆมันเลยทำให้เพื่อนๆไม่ชอบ ญาติๆก็ไม่รัก เจอแม่ก็ทะเลาะกันตลอด ลืมคิดไปว่าแม่เครียดนะ เค้าต้องรับผิดชอบเยอะ เลยตัดสินใจไม่เรียนแล้วจะเอ็นท์ใหม่ พอดีพี่ชายมาเสียตอนที่จะเอ็นท์พอดี ก็เลยต้องเลื่อนไปอีกหนึ่งปี ปีที่ว่างนี่ล่ะเป็นปีทีทรมานที่สุด อยากเรียนหนังสือแล้วไม่ได้เรียนแต่ก็ทำให้เราได้มีเวลาคิดอะไรเยอะ
และเมื่อเธอรู้ตัว..ก็ได้เวลาแก้ไขนิสัยเสีย
"ช่วงหนึ่งปีที่ว่างอยู่ ไม่ได้เรียน เราก็ทำงานทุกอย่างที่จะได้เงิน ตั้งแต่เป็นเด็กเสิร์ฟ ทำของแฮนด์เมดขาย เปิดท้ายขายของ แล้วก็เป็นเวลาที่ได้นั่งทบทวนตัวเอง นั่งจดนิสัยแย่ๆ ของตัวเองลงสมุดไดอารี่ เห็นแล้วตกใจว่าทำไมมันมากมายขนาดนี้ คนรอบข้างเราเค้าต้องทนเราเยอะมากเลยนะ ก็เลยเริ่มปรับปรุงตัวเอง จนที่บ้านญาติๆเค้าก็เริ่มเห็นว่าเราเปลี่ยนไป เราทำงานเอง แล้วก็จะเรียนอย่างที่ตัวเองตั้งใจไว้
เดี๋ยวนี้เรารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ชีวิตที่มีความสุขที่สุดคืออะไร ไม่ต้องหรูก็ได้ ไม่ต้องใช้ของราคาแพงก็ได้ ไม่ต้องมีเพื่อนมากมาย ขอแค่มีใครสักคนที่รักเราจริงๆแล้วเราก็เข้าใจกัน กับแม่เราไม่ต้องเจอกันก็ได้ ไม่ต้องใกล้กันมากก็ได้ เพียงแค่เวลาเจอกันเราพูดดีๆต่อกันดีกว่า
รับรู้เรื่องราวมาจนถึงบรรทัดนี้ มีใครเคยมีปัญหากับเพื่อน มีปัญหากับชีวิตกันบ้างมั้ย ถ้าเคยมี..เคยย้อนกลับไปทบทวนตัวเองบ้างมั๊ยว่าเราทำอะไรพลาดไปหรือเปล่า เมื่อไรที่เริ่มไม่พอใจใครสักคนรอบข้างอย่าเพิ่งตัดสินใจว่าเป็นอย่างไร แต่ให้เวลาให้โอกาสคิดว่าถ้าเราเป็นเขาเราจะทำอย่างไร ถ้าเราเป็นคนนั้นที่พลาดไป..ไม่ช้าเกินไปหรอกที่เราจะนั่งทบทวนแล้วดูแลหัวใจคนข้างๆกันใหม่..คุณเชื่อมั้ยล่ะว่า..ชีวิต..ไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่
เครดิต :: นิตยสาร คลีโอ