Potter Story Lobby !!! > ห้องนั่งเล่น !

03-05-09 :: [รวมหัวข้อ] อาการสะดุดรัก/ผู้หญิงเถียงไม่ออก/25 ความจริง/อ่านข้อสอบให้ได้ผล/ปรสิตสยอง/กฎ

(1/12) > >>

Magic-Cvidiz:
เครดิต :: http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1306350

การที่ผู้หญิงเกิดมาเป็นเพศที่ช่างพูดนั้นมักจะทำให้รู้ว่าผู้หญิงกำลังคิด อะไรอยู่ ขณะที่ผู้ชายกลับเป็นเพศที่พูดน้อยกว่า การอ่านใจผู้ชายนั้นจึงยากกว่าผู้หญิงเยอะ ถ้าอยากจะรู้ว่า "ชายคนนั้น" กำลังตกหลุมรักคุณอยู่หรือเปล่า ให้สังเกตอาการต่อไปนี้

           1. ถ้าปกติเขามักจะขึ้เกียจโทรศัพท์คุยกับเพื่อนๆ แม้ว่าจะมีโปรโมชั่นมือถือราคาพิเศษก็ตาม แต่ถ้าเขาโทรศัพท์มาพูดคุยกับคุณตลอดวัน ชัดเลยว่าคุณเริ่มเป็นคนพิเศษสำหรับเขาแล้ว

           2. หนุ่มบ้างานที่เลิกงานเกือบเที่ยงคืนทุกวัน กลับยอมละมือจากงาน และพร้อมที่จะเอางานกลับไปทำที่บ้านในวันหยุด เพียงเพื่อจะไปกินอาหารเย็นกับคุณ

           3. หนุ่มที่ติดเพื่อนอย่างเขา ชอบที่จะไปเฮฮากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ แต่แล้วเขากลับพบว่าตอนนี้เพื่อนฝูงกลายเป็นส่วนเกินเมื่อเขาอยู่กับคุณ

           4. เขาทำท่าอยากจะอยู่ใกล้ชิดกับคุณตลอดเวลา เรียกได้ว่าวันๆ ตั้งตารอที่จะได้พบหน้าคุณ ไม่สนใจอะไรอื่นเลยนอกจากสองเราเท่านั้น เพื่อพิสูจน์ว่ารักแท้แม้ระยะทางก็ไม่เป็นอุปสรรค เขาอุตส่าห์ดั้นด้นโหนรถเมล์จากรังสิตมาสีลม เพียงเพื่อที่จะมาฟังเสียงหวานๆ ของคุณเท่านั้น

           5. ผู้ชายที่กำลังอยู่ในความรัก ต่อให้เดินชนกับผู้หญิงสวยเซ็กซี่แค่ไหนก็ไม่เกิดอาการร้อนวูบวาบ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่แค่เห็นผู้หญิงสวยเดินผ่านหัวใจก็จะบินตามก้นเธอไป แล้ว

           6. เรื่องของบุพเพอาละวาด ที่เพียงสบสายตากับคุณปั๊บ คลื่นแห่งความรักมันวิ่งตรงจากดวงตาไปหาหัวใจที่เดียว อาการนี้เรียกว่าสะดุดเข้ากับความรักอย่างจังทีเดียว

           7. แม้ว่าคุณจะเป็นหญิงสาวที่แปลก หรือทำอะไรแตกต่างไปจากคนอื่นๆ (หรืออาจต๊องในสายตาคนทั่วไป) แต่สำหรับเขาแล้ว ความบ้าบอกความเป็นเสน่ห์ในตัวคุณที่กระตุ้นให้เขาลุ่มหลงอย่างถอนตัวไม่ ขึ้น

           8. เขาใส่ใจคุณเป็นพิเศษ แม้หญิงอื่นหมื่นแสนจะเป็นใครมาจากไหน เขาก็ไม่สน แต่สำหรับคุณแล้ว เขาอยากรู้ทุกเรื่องที่เป็นคุณไม่ว่าจะเป็นอะไร จะคิดอะไร หรือมีอะไรที่จะทำให้คุณยิ้มได้เขาจะรีบทำทันที

           9. เขาคิดถึงคุณทุกนาที คุณ เท่านั้นที่อยู่ในห้วงแห่งความคิดถึงโดยไม่มีเหตุผล บางครั้งเขาอาจจะคิดเล่นๆ ว่าคุณคิดถึงเขาสักครึ่งหนึ่งที่เขาคิดถึงคุณอยู่หรือเปล่า แม้หลับก็ยังฝันว่าได้อยู่เคียงคู่กัน พอตื่นก็เรียกหา เป็นเอามากขนาดนี้ชัวร์เลย

           10. ตั้งแต่พบกับคุณนั้น เขาลืมความเจ็บปวดกับแฟนเก่าเสียสนิท และเริ่มมีคุณเข้ามาแทนที่ในหัวใจอันเคยบอบช้ำมาก่อน

Magic-Cvidiz:
เครดิต :: http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1297431

1.ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแต่มีของ 4 อย่างที่ผู้หญิงต้องหยุดดู..ตุ้มหู กระเป๋า รองเท้า และเสื้อผ้า

2.ผู้หญิงชอบกินเค้กช็อกโกแลตและชอบบ่นว่าาตัวเองอ้วน

3.เวลาเธอถามว่าเธออ้วนไปหรือเปล่า? ถ้าคุณตอบว่าเปล่า เธอจะไม่เชื่อ แต่ถ้าคุณตอบว่าอ้วน เธอก็จะโกรธ

4.หากจะอธิบายเรื่องเวรกรรมให้ผู้หญิงเข้าใจให้ยกเรื่องสลิปบัตรเครดิตมาเป็นตัวอย่าง

5.ผู้หญิงชอบให้คนมาจีบ แต่ไม่ได้ชอบทุกคนที่เข้ามาจีบ

6.ผู้หญิงเกิดมาคู่กับครีมทาผิวและโฆษณาครีมทาผิวทุกตัวได้ผลเสมอ

7.ผู้หญิงไม่เคยเหน็ดเหนื่อยจากการเดินช็อปปิ้ง และหากนับก้าวระหว่างที่เธอเดิน คุณคงไม่เชื่อในระยะทางที่วัดได้

8.เวลาที่ผู้หญิงบอกว่าไม่มีอะไร แปลว่ามีอะไร และผู้ชายไม่รู้หรอก (เฉลยไปเลย)

9.เวลาผู้หญิงร้องไห้ เธอจะต้องการการปลอบโยน แต่ถ้าไปถาม เธอจะบอกว่า "ไม่ต้อง"

10.ผู้หญิงสนใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลายของกระเป๋าหรือตุ้มหู อย่าถามความเห็นของคุณผู้ชายเลยเพราะเขามองไม่ออกจริงๆ

11.ผู้หญิงใช้ลิปสติกไม่เคยหมดแท่ง

12. ผู้หญิงชอบสมัครฟิตเนสและจินตนาการว่าตัวเองจะฟิตแอนด์เฟิร์มขึ้นในสามเดือนข้างหน้า แต่หลังสมัครเสร็จเธอจะแวะไปที่ร้านกิฟท์ช็อปที่อยู่หน้าฟิตเนสและนานๆ จะมาที่นี้สักที

13.ผู้หญิงเกิดมาคู่กับดอกไม้ เมื่อได้รับดอกไม้ยิ่งช่อใหญ่ยิ่งดี

14.ผู้หญิงจำวันทุกวันเก่งมาก ไม่ว่าจะเป็นวันแรกที่เจอ วันแรกที่คบ วันครบรอบ วันเกิด และวันอะไรอีกมากมายและนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เธอทะเลาะกับแฟน

15.ผู้หญิงชอบอ่านดวงในแมกกาซีนและบอกว่าแม่นมาก โดยที่ผู้ชายไม่ค่อยเชื่อ

16.คำขอโทษที่ดีที่สุดคือ "ไปช็อปปิ้งมั้ย?"

17.ผู้หญิงไม่รู้ว่าที่เปิดกระโปรงรถอยู่ไหน เพราะไม่รู้ว่าจะเปิดมันไปทำไม หรือถึงเปิดเป็นก็ไม่รู้จะทำอะไรกับมันดี

18.เวลาทะเลาะกัน เธอจะบอกว่าไม่ต้องโทรมาอีกแล้ว แต่หลังจากวางหู เธอจะหันไปมองโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ พอกลับมาดีกัน เธอจะต่อว่าๆ พอกลับมาดีกัน เธอจะต่อว่า ว่าตอนนั้นทำไมไม่โทรมา (อ้าว)

19. ผู้หญิงสนใจเรื่องราวของเพื่อนเรากับแฟน(ของเพื่อนเรา)มากกว่าตัวเรา(ที่เป็นเพื่อนมันจริงๆ)เสียอีก

20.ผู้หญิงกินข้าวเป็นมื้อจริงๆ น้อย กินขนมระหว่างมื้อเยอะ

21.ผู้หญิงผมตรงอยาผมหยิก ผู้หญิงผมหยิกอยากผมตรง

22.กระเป๋าถือของผู้หญิง มีน้ำหนักมากกว่าสายตาประเมิน และข้างในบรรจุของไว้มากมาย แม้เธอจะไม่ใช้ทุกอย่างก็ตาม

23.เวลากลุ่มเพื่อนผู้หญิงนัดกัน มักจะเม้าท์เรื่องของแฟนอย่างสนุกสนาน ผู้ชายรู้ดีเลยแค่ขับรถไปส่งแล้วค่อยไปรับตอนจะกลับอีกครั้ง

24.ตุ๊กตาส่วนใหญ่ไม่มีปาก เพราะมีผลการวิจัยว่า การไม่มีปากทำให้ผู้หญิงรู้สึกเหมือนว่าตุ๊กตากำลังรับฟังและเข้าใจความรู้สึกของธอ ไมว่าเธอจะรู้สึก สุข เศร้า เหงา และรัก

25.ในที่ทำงาน มักจะมีเพื่อนร่วมงานผู้หญิงที่ไม่ค่อยถูกกับเพื่อนร่วมงานผู้หญิงด้วยกัน อย่างน้อยก็คู่หนึ่งละ

26.เวลาผู้หญิงนินทากันเอง แม้ผู้ชายจะทำหน้าเฉยๆ แต่ก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน

27.ผู้หญิงทุกคนต้องมีตู้เสื้อผ้าสองตู้ขึ้นไป และเมื่อถึงสี่ตู้เมื่อไหร่จะเริ่มบริจาคเสื้อผ้าที่ไม่ใช้ให้คนอื่น และตอนที่เริ่มโละของจะมีประโยคประเภท "เสื้อตัวนี้ยังไม่ได้ใส่เลย!!!"

28.ผู้หญิงมีเคล็ดลับในการแสดงความเป็นเจ้าของ เช่นติดรูปถ่ายคู่ไว้ในกระเป๋าตังค์ของเขาเอาตุ๊กตาไว้หน้ารถเขา วางตุ้มหูระยิบระยับไว้ที่ห้องรับแขกในบ้านเขา ถือเป็นสิ่งเล็กน้อยที่แฝงไปด้วยเทคนิคล้ำเลิศ

29.เริ่มต้นวันใหม่ด้วยประโยค "วันนี้คุณสวยจัง" จะทำให้เธออารมณ์ดีไปทั้งวัน

30.ดูเหมือนว่าผู้หญิงทุกคนจะชอบช็อปปิ้ง ฝันอยากขึ้นปกแมกกาซีนและอยากรักกับพระเอกฮอลลีวู้ด แต่ความจริงคงยากที่ชีวิตจริงจะเป็นอย่างนั้น ผู้หญิงทุกคนจึงมีอีกความฝันเล็กๆ อีกอันซ่อนอยู่ นั่นก็คือ การได้ทำกับข้าวเย็นให้แฟน นั่งดูทีวีด้วยกันตอนค่ำ นอนกอดกันตอนหลางคืน ตื่นมาจัดที่นอนและตื่นขึ้นมาเตรียมข้าวเช้าให้ และอยากให้เขาบอกว่า "ผมรักคุณ" และหอมแก้มหนึ่งทีก่อนไปทำงาน (คุณว่าจริงมั้ย)





เออ  เรา ตรงบางข้อหน่ะค่ะ ไม่ตรงทุกข้อหรอก อย่างที่บอกน่ะค่ะทุกคน คนเราไม่เหมือนกันหรอกค่ะ เราเพียงแค่เอามาให้อ่านกันเฉยๆค่ะ

Magic-Cvidiz:
เครดิต :: http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1295818


กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคนเราคือ ลิ้น ก็เอาไว้ฟาดฟันตอนประกบ ปากกันไง
(ลิ้นแข็งแรงที่สุดจริงๆครับ เพราะลิ้น สามารถยกเอวได้)
ผู้หญิงกระพริบตาบ่อยกว่าผู้ชายถึงสองเท่า และ มากกว่าถึงสามสิบครั้งเมื่อพวกเธออยู่สระว่ายน้ำ
เชื่อหรือไม่ถ้าไม่ขับถ่ายเป็นเวลา3วันขี้จะพุ่ง
คนเราไม่สามารถที่จะเลียข้อศอกของตัวเองได้
แมลงสาบหัวขาด สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได่ถึง 9 วันก่อนที่มันจะอดอาหาร จนตาย
เวลาปลาหมึกยักษ์ หิวจัดเอามาก ๆ มันจะกินหนวดของมันเอง และรู้มั้ยว่า มันยังเป็นสัตว์ที่มีลูกตา ใหญ่ที่สุดในโลก
แมงมุมแม่หม้ายดำฃึ่งกลืนกินคู่ขาหลังจากการสมสู่ยังสามารถหม่ำแมงมุม ตัวผู้ได้ถึงวันละ 25 ตัวอีกด้วยร้ายกาจมากกกกก!
เตียงนอนในบ้านโดยทั่วไปแล้ว จะมีตัวเล็นและตัวไรฃ่อนอยู่ถึง 6พันล้านตัว
ผึ้งจะทำกายบริหารก่อนจะบิน
ดาวยูเรนัสและดาวเนปจูนมีเพชรเป็นส่วนประกอบถึง 15% หากคุณเอามันออกมาใช้ได้ คุณจะเป็นคนที่รวยที่สุดในระบบสุริยะ
การ์ตูนโดนัลด์ดั้กเคยถูกประกาศห้ามเผยแพร่ในฟินแลนด์เพียงเพราะว่ามัน ไม่สวมกางเกง ฮ่า ฮ่า
โดยถัวเฉลี่ย มนุษย์จะกินแมงมุมเข้าไป 8 ตัวตลอดชั่วชีวิตหนึ่งก็เวลา ที่มันคลานเข้าไป ในปากตอนเราหลับปุ๋ยไง อึ๊ยยย! และรู้มั๊ยว่าคนส่วนใหญ่น่ะ กลัวแมงมุมมากกว่ากลัวตายฃักอีก
ถ้าคุณลากเส้นชอล์กผ่านฃวางทางเดินของมด มันจะไม่ยอมเดินผ่านข้ามไป
ถ้าคุณนั่งฟังครูที่โรงเรียนเป็นเวลานานคุณจะเกิดอาการหลับสภาวะนี้เรียกเป็นภาษาวิทยาศาสตร์เรียกว่า sleep status
คุณรู้หรือเปล่าว่า ไม่ว่าแผ่นกระดาษจะมีขนาดใหญ่แค่ไหนคุณไม่สามารถ พับครึ่งได้ถึง 6 ทบ ไม่เชื่อลองดูสิ
ครั้งหนึ่งชาวเบลเยี่ยมเคยพยายามใช้แมวเหมียวเป็นตัวส่งจดหมายไม่จำเป็น ต้องบอกเลยว่า ไม่มีทางสำเร็จผล
คุณรู้ไหมว่าโดยทั่วไปแล้วผู้หญิงจะกลืนกินลิพสติกลงท้องไปถึง 4 ปอนด์ ในตลอดชีวิตของเจ้าหล่อน
ตลอดทั้งชีวิตแล้วคนทั่วไปจะใช้เวลาจูจุ๊บกันรวมแล้วเกือบสองอาทิตย์ เชียวนะ
เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะ จามทั้งๆ ดวงตายังเปิด
เห็นชัดได้ว่า ลูกตาของคนเราคงขนาดเดิมมาตั้งแต่เกิด แต่จมูกกับหูนั้น ไม่เคยหยุดการเจริญเติบโตเลย!
วอลท์ดิสนี่ย์ผู้สร้างสรรค์ตำนานการ์ตูนมิคกี้เม้าส์นะอันที่จริงแล้วเค้า เป็นคนกลัวหนูจะตายไป
เอาหัวโขกกับกำแพงซักหนึ่งชั่วโมง ช่วยเผาผลาญหลังงานได้ถึง 150 แคลอรี่
อัลมอลล์เป็นพืชตระกูลหนึ่งของพีช
โฆษณานาฬิกาทุกชิ้น .มักให้เข็มนาฬิกาหยุดอยู่ที่ 10:10 เพราะจะได้ดูเป็นรูปใบหน้ายิ้ม
ลายเสือเกิดขึ้นจากหนังของมัน ไม่ใช่จากขน
ร้อยละ 80 ของคนที่อ่านบทความนี้พยายามจะเลียข้อศอกตัวเอง!!
ร้อยละ 60 ของคนที่อ่านบทความนี้จะพยายามจามโดยไม่หลับตา
ร้อยละ 0.1 ของคนที่อ่านบทความนี้พยายามจะพิสูจน์ว่าเราเผลอกินแมงมุม
ร้อยละ 100 ของคนที่อ่านบทความนี้จะต้องหัวเราะอย่างน้อย 1 ครั้ง และมักจะหัวข้อว่าด้วยโดนัลด์ดั้ก!!!

Magic-Cvidiz:
เครดิต :: http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1295779



10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ CoolYellLaughing

1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ
2. นั่งสมาธิสัก 5 นาที
3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ
4. เช็คคำตอบ
5. อ่านอีกหนึ่งรอบ
6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน
7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น
8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ
10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

-------------------------------------------------------------------------------------------------

5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ
วิธีอ่านหนังสือ  แบบว่าอยากสอบผ่าน....



1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ(บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้

   ** แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนชอบแชตนะครับ

2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)

3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง

4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้

5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)

เป็นยังไงบ้างครับ กับวิธีอ่านหนังสือที่เน้นการจับกลุ่มซะหน่อยนึงนะครับ  แต่ลองทำดูสิ  อาจจะได้ผลนะครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

...เทคนิคการอ่านหนังสือยังไงน่ะให้จำง่ายๆ...

ข้อที่ 1. เพื่อนๆต้องใส่ใจเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก่อนเลยครับ ดูซิว่าวิชาไหนน่ะที่เราต้องสอบเป็นอันดับแรกๆ หยิบวิชานั้นขึ้นมาก่อนเลย เตรียมไว้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาที่จะสอบ ชีต เอกสารต่างๆ หรือแนวข้อสอบ(อันนี้สำคัญนะ หาให้เจอล่ะ) ค้นเลยๆ ทุกวิชานะ

ข้อที่ 2.แยกหมวดหมู่แต่ละวิชา ก่อน-หลัง แล้วหาที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยล่ะ

ข้อที่ 3.เตรียม ดินสอ/ปากกา สมุด และปากกาเน้นข้อความไว้ด้วยนะ

ข้อที่ 5.เริ่มอ่านวิชาที่จะต้องสอบก่อนเป็นวิชาแรกเลย ตรงนี้แหละสำคัญมาก เพื่อนๆอย่าอ่านๆๆๆๆๆแล้วก็อ่านเพื่อให้จบ แบบผ่านๆนะ
ต่อให้เพื่อนๆอ่านสัก 10 รอบแล้วบอกคนอื่นๆว่า "ก็เค้าอ่านเป็นสิบๆรอบแล้วอ่ะ แต่ทำไมทำข้อสอบไม่ได้เลยน่ะ?"  อ่านสัก 100 รอบก็ไม่ช่วยอะไรหรอก อ่านแล้วต้องทำความเข้าใจไปด้วย ตรงไหนที่คิดว่าสำคัญๆ เพื่อนๆก็เน้นตรงจุดนั้นไว้ อาจจะใช้วิธีการจดบันทึกไว้ หรือ เน้นข้อความด้วยปากกาสีต่างๆก็ได้เพื่อว่าจะได้กลับมาอ่านอีกครั้ง


ข้อที่ 6.นั้นไงๆบอกไปตะกี้เองนะ ว่าอย่าอ่านแบบผ่านๆ ดูสิ เพื่อนๆลองกลับไปอ่านข้อ 3 ใหม่สิครับ แล้วดูซิว่าที่ต่อจากข้อ 3 นะเป็นข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ 4 หายไป  ส่วนเพื่อนๆคนไหนสังเกตเห็นก่อนที่ผมเฉลย ก็แสดงว่าไม่มีปัญหาในเรื่องของการอ่านหนังสือแล้วละ เก่งมากๆเลย ส่วนเพื่อนๆคนไหนที่ไม่ทันได้สังเกต ก็เอาจุดนี้เนี่ยแหละครับไปลองปรับใช้กับการอ่านหนังสือดูตามที่ผมบอกไว้ในข้อที่ 5 นะ


ข้อที่ 7. ต่อ การไม่ปล่อยให้ท้องว่างก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเพื่อนๆ อ่านๆๆๆหนังสืออย่างเดียวจนลืมทานข้าวแล้วละก็ นอกจากเพื่อนๆ จะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว อาจจะทำให้ป่วย และทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ด้วยนะสำคัญเลย ต้องหาอะไรทานเมื่อท้องว่างด้วยนะ ...อย่าทรมาณตัวเองละ   


ข้อที่ 8.ในการอ่านหนังสือ เพื่อนๆควรเลือกเวลาที่รู้สึกว่าสมองเราพร้อมจะทำงานด้วยนะ แล้วเมื่อเพื่อนๆรู้สึกว่าเริ่มอ่านไม่ไหวแล้วล่ะ  อ่านนานมากไปทำให้ปวดตา ปวดหัว ให้เพื่อนๆพักก่อน อาจจะหาอย่างอื่นทำ เช่น  พักสายตาโดยการหาเพลงเพราะๆฟัง(เลือกเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจด้วยละครับ ถ้าฟังเพลงที่หนักไป อาจทำให้ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ) จะดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมอื่นๆที่ทำแล้วผ่อนคลายก็หามาลองทำกันดูนะ แต่อย่าพักจนเพลิน เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายผ่อนคลายเพียงพอแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดการอ่านหนังสือต่อเลย


ข้อที่ 9.ฉันรู้นะคะว่าเพื่อนๆต้องเริ่มใส่ใจในรายละเอียดในการอ่านกันบ้างแล้วล่ะ  คงคิดใช่ไหมละ  ว่าจะแกล้งทำให้ข้อไหนหายไปอีก ดีแล้วถ้าเพื่อนๆคิดอย่างนั้น เป็นการฝึกตัวเองไปด้วย ให้เป็นคนรอบคอบ

 
 
   
 การสอบ, อ่านหนังสือ, เคล็ดลับ     
   
   
Tag คือ การสรุปคำสำคัญ เพื่อบอกว่ากระทู้นี้เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง



 

ตอนนี้เพื่อนๆ คงต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบปิดเทอมกันแล้วนะครับ
เปิดในเว็บเจอเคล็ดลับต่างๆ ที่จะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือสอบ ก็เลยเอามาฝากครับ
หลายเคล็ดลับจริงๆ ก็เลือกสักอย่างที่เหมาะกับตัวเองนะครับ

10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ CoolYellLaughing

1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ
2. นั่งสมาธิสัก 5 นาที
3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ
4. เช็คคำตอบ
5. อ่านอีกหนึ่งรอบ
6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน
7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น
8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ
10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

-------------------------------------------------------------------------------------------------

5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ
วิธีอ่านหนังสือ  แบบว่าอยากสอบผ่าน....

1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ(บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้

   ** แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนชอบแชตนะครับ

2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)

3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง

4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้

5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)

เป็นยังไงบ้างครับ กับวิธีอ่านหนังสือที่เน้นการจับกลุ่มซะหน่อยนึงนะครับ  แต่ลองทำดูสิ  อาจจะได้ผลนะครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

...เทคนิคการอ่านหนังสือยังไงน่ะให้จำง่ายๆ...

ข้อที่ 1. เพื่อนๆต้องใส่ใจเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก่อนเลยครับ ดูซิว่าวิชาไหนน่ะที่เราต้องสอบเป็นอันดับแรกๆ หยิบวิชานั้นขึ้นมาก่อนเลย เตรียมไว้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาที่จะสอบ ชีต เอกสารต่างๆ หรือแนวข้อสอบ(อันนี้สำคัญนะครับ หาให้เจอล่ะครับ) ค้นเลยๆ ทุกวิชานะครับ

ข้อที่ 2.แยกหมวดหมู่แต่ละวิชา ก่อน-หลัง แล้วหาที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยล่ะครับ

ข้อที่ 3.เตรียม ดินสอ/ปากกา สมุด และปากกาเน้นข้อความไว้ด้วยนะครับ


ข้อที่ 5.เริ่มอ่านวิชาที่จะต้องสอบก่อนเป็นวิชาแรกเลยครับ ตรงนี้แหละสำคัญมาก เพื่อนๆอย่าอ่านๆๆๆๆๆแล้วก็อ่านเพื่อให้จบ แบบผ่านๆนะครับ ต่อให้เพื่อนๆอ่านสัก 10 รอบแล้วบอกคนอื่นๆว่า "ก็เค้าอ่านเป็นสิบๆรอบแล้วอ่ะ แต่ทำไมทำข้อสอบไม่ได้เลยน่ะ?"  อ่านสัก 100 รอบก็ไม่ช่วยอะไรหรอกครับ  อ่านแล้วต้องทำความเข้าใจไปด้วย ตรงไหนที่คิดว่าสำคัญๆ เพื่อนๆก็เน้นตรงจุดนั้นไว้ อาจจะใช้วิธีการจดบันทึกไว้ หรือ เน้นข้อความด้วยปากกาสีต่างๆก็ได้ครับ เพื่อว่าจะได้กลับมาอ่านอีกครั้งครับ


ข้อที่ 6.นั้นไงๆ  ผมบอกไปตะกี้เองนะครับว่าอย่าอ่านแบบผ่านๆ ดูสิครับ!  เพื่อนๆลองกลับไปอ่านข้อ 3 ใหม่สิครับ แล้วดูซิว่าที่ต่อจากข้อ 3 นะเป็นข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ 4 หายไป  ส่วนเพื่อนๆคนไหนสังเกตเห็นก่อนที่ผมเฉลย ก็แสดงว่าไม่มีปัญหาในเรื่องของการอ่านหนังสือแล้วละครับ เก่งมากๆเลยครับ ส่วนเพื่อนๆคนไหนที่ไม่ทันได้สังเกต ก็เอาจุดนี้เนี่ยแหละครับไปลองปรับใช้กับการอ่านหนังสือดูตามที่ผมบอกไว้ในข้อที่ 5 นะครับ


ข้อที่ 7. ต่อครับ การไม่ปล่อยให้ท้องว่างก็เป็นสิ่งสำคัญนะครับ  ถ้าเพื่อนๆ อ่านๆๆๆหนังสืออย่างเดียวจนลืมทานข้าวแล้วละก็ นอกจากเพื่อนๆ จะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว อาจจะทำให้ป่วย และทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ด้วยนะครับ สำคัญเลย ต้องหาอะไรทานเมื่อท้องว่างด้วยนะครับ...อย่าทรมาณตัวเองละครับ


ข้อที่ 8.ในการอ่านหนังสือ เพื่อนๆควรเลือกเวลาที่รู้สึกว่าสมองเราพร้อมจะทำงานด้วยนะครับ แล้วเมื่อเพื่อนๆรู้สึกว่าเริ่มอ่านไม่ไหวแล้วล่ะครับ อ่านนานมากไปทำให้ปวดตา ปวดหัว ให้เพื่อนๆพักก่อน อาจจะหาอย่างอื่นทำ เช่น  พักสายตาโดยการหาเพลงเพราะๆฟัง(เลือกเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจด้วยละครับ ถ้าฟังเพลงที่หนักไป อาจทำให้ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ผมไม่รู้ด้วยนะครับ) จะดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมอื่นๆที่ทำแล้วผ่อนคลายก็หามาลองทำกันดูนะครับ แต่อย่าพักจนเพลินล่ะครับ  เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายผ่อนคลายเพียงพอแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดการอ่านหนังสือต่อเลยครับ (ทนเอาหน่อยนะครับ สอบไม่ได้มีมาบ่อยๆ ตั้งใจให้สุดๆไปเลย)

ข้อที่ 9.ผมรู้นะครับว่าเพื่อนๆต้องเริ่มใส่ใจในรายละเอียดในการอ่านกันบ้างแล้วล่ะครับ คงคิดใช่มั้ยละครับ ว่าผมจะแกล้งทำให้ข้อไหนหายไปอีกน่ะ!  ดีแล้วครับถ้าเพื่อนๆคิดแบบนี้นะครับ เป็นการฝึกตัวเองไปด้วย ให้เป็นคนรอบคอบ


ข้อที่ 10.อ้า....อ่านไม่ทันแล้วอ่ะ!  ทำไงดีๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนๆคนอื่นๆเกือบทุกคนละที่สำคัญเลย อย่าตื่นเต้นจนรนล่ะครับ ตั้งสตินะ ตรงนี้สำคัญมากๆเลย ให้เพื่อนๆหยุดอ่านหนังสือต่อสักพักนึง แล้วดูซิว่า...พรุ่งนี้เราสอบวิชาอะไรบ้าง แล้วหยิบวิชาที่สอบเป็นวิชาแรกมาอ่านทบทวนก่อนเลย แล้วก็ทบทวนวิชาอื่นๆต่อไป


ข้อที่ 11.อ่านหนังสือสอบก็ต้องฟิตหน่อยสิ เพื่อนๆบางคนอาจจะอ่านหนังสือเร็วและเข้าใจง่ายทำให้การอ่านหนังสือไม่ค่อยมีปัญหาเลยก็ดีไปส่วนเพื่อนๆคนไหนเป็นคนที่อ่านหนังสือช้าก็ต้องขยันกว่าคนอื่นๆหน่อยแล้ว อาจจะทำให้อ่านหนังสือไม่ทัน ทำให้ต้องนอนดึกหน่อย ก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะ หานมอุ่นๆหรือของว่างทานสักนิดนึงนะใส่ใจในสุขภาพหน่อยนะครับ เพราะเดี๋ยวเพื่อนๆอาจป่วยได้นะ  แล้วไปสอบไม่ได้ แย่เลยน่ะ สำคัญมากเลยถ้าอ่านหนังสือไม่ทันแล้วจริงๆ แต่ร่างกายเราไม่ไหวแล้ว อย่าฝืนนะ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น รีบเตรียมตัวเข้านอนกันดีกว่า
 ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่น แถมถ้าเราตื่นเร็ว ก็จะมีเวลาอีกนิดในการทบทวนก่อนเข้าห้องสอบนะ

Magic-Cvidiz:
เครดิต :: http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1280194

เรื่องของปรสิตที่อาศัยในสิ่งมีชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ขยะแขยงต่อเรามาช้านาน ถูกสร้างเป็นหนัง การ์ตูนสยองมาก็เยอะ ส่วนเรื่องจริงเกี่ยวกับปรสิตนั้นก็น่ากลัวไม่แพ้ในหนังเลยแถมบางครั้งพวกมันยังทำร้ายหรือใช้ประโยชน์เหยื่อของมันทำตามสิ่งที่มันบงการอย่างน่ากลัว

อันดับ 7 พยาธิกินี (The Guinea Worm)

               



                พยาธิกีนีเป็นพยาธิที่พบมาอาฟริกา, อเมริกาใต้ และเอเซีย อินเดีย ปากีฯ ซาอุ เยเมน จัดเป็นพยาธิที่เก่าแก่ที่สุดตัวหนึ่งที่โลกรู้จักมาแต่โบราณ (เห็นได้จากสัญลักษณ์ทางการแพทย์(caduceus) ซึ่งได้มาจากวิธีการใช้กิ่งไม้เกี่ยวม้วนตัวพยาธิเพื่อดึงมันออกจากผิวหนัง)

               
                 จากพยาธิตัวร้ายนี้เวลาเป็นตัวอ่อนมันจะอาศัยอยู่ในน้ำ ถ้ามีคนกินน้ำดิบที่มีมันเข้าไป ตัวอ่อนจะไชผ่านผนังลำไส้ออกมาอยู่ที่ขา ซึ่งพยาธิตัวเมียเส้นยาว 70 ถึง 120 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางลำตัวระหว่าง 0.09-0.17 เซนติเมตร พอมันจะวางไข่มันจะทำให้เกิดแผลที่ ขา ข้อเท้า หรือ เท้า ซึ่งจะปวดแสบปวดร้อนมากจนมันมีอีกชื่อว่า fiery serpent ทำให้ผู้ป่วยทนไม่ได้ต้องเอาเท้าไปแช่น้ำ มันก็จะปล่อยไข่ออกมาสู่แหล่งน้ำ วิธีการรักษาที่นิยมคือผ่าเอาออก หรือเมื่อมันโผล่ออกมาจากแผลเปิดให้เอาไม้เล็กๆ พันปลายของมันแล้วค่อยๆม้วนดึงออกมาทีละนิดไม่ให้ขาด อาจใช้เวลาตั้งแต่หลายวัน จนถึงหลายสัปดาห์กว่าจะดึงออกมากหมด(สยองมากๆ)

                ในปัจจุบันพยาธินี้หายากมากซึ่งจากการสำรวจพบผู้ป่วยเพียง 1% เท่านั้น 

             

 

`              อันดับ 6 "Cymothoa exigua"

               



                ถ้าพูดถึงพยาธิ สิ่งมีชีวิตที่พยาธิหรือปรสิตชอบอาศัยที่สุดคือปลา ซึ่งแบบสยดสยองน่าขยะแขยงที่สุดเราขอแนะนำเจ้า Cymothoa exigua

               
                 Cymothoa exigua เป็นสัตว์ทะเลเปลือกแข็ง อยู่ในตระกูลที่มีขาเป็นข้อหรือปล้อง (Class crustacea)ศ๋ซฯฒษฏฮษสํญในอ่าวแคลิฟอร์เนียมันจะเข้าในแกะในตัวปลาโดยอาศัยทางเหงือกและชอบแกะลิ้นปลา Rose snapper (Lutjanus guttatus) จากภาพจะเห็นว่า พยาธิตัวนี้ไม่ได้เกาะอยู่เฉยๆนะแต่มันกำลังกินลิ้นและดูดเลือดปลาด้วย และเมื่อมันเติบโตแล้วมันอาจเคลื่อนที่ไปยังส่วนอื่นๆ ในร่างกายปลาเพื่อดูดเลือดเป็นที่พักของชีวิตมันต่อไป

 

                อันดับ 5 horsehair worm

                 



                ปรสิตทุกชนิดมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเจ้าบ้าน (host) ด้วยวิธีต่างๆ  เพื่อเพิ่มโอกาสให้วงจรชีวิตสมบูรณ์ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย้ายจากเจ้าบ้านหนึ่งไปยังอีกเจ้าบ้านหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าตัวมันหรือลูกหลานของมันได้ไปยังสถานที่ที่เหมาะสมหรือเพิ่มการมีชีวิตรอดต่อไป หนึ่งในปรสิตที่โด่งดังหรือมีการศึกษากันมากในวงการปรสิตวิทยาก็คือ พยาธิขนม้า (horsehair worm)

                พยาธิขนม้ายังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Gordian worm ชื่อทั้งสองมาจากลักษณะของมันที่มีลำตัวเล็กยาว และมักจะชอบขดม้วนเป็นเกลียวแน่นคล้ายกับเจ้าพวกพยาธิตัวกลม

                พยาธิขนม้านั้นมักจะเข้าไปสิงอยู่ในแมลงกลุ่มตั๊กแตน และจิ้งหรีด (Orthoptera) ขณะที่ยังเด็ก พวกมันยังต้องเข้าไปอาศัยภายในตัวของแมลงอยู่เฉยๆ  (เนื่องจากอิทธิฤทธิ์ยังไม่มากพอ) กระทั่งเมื่อโตเต็มที่แล้ว มันก็เริ่มปีกกล้าขาแข็ง ไม่ยอมอยู่ในร่างใคร ออกมาล่องลอยหาอาหาร และผสมพันธุ์สืบทอดลูกหลานต่อไปในแหล่งน้ำเช่น แม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง

               
                วงจรชีวิตของมันเริ่มจากไข่ที่วางไว้ตามวัชพืชข้างแหล่งน้ำ จากนั้นเจ้าบ้าน (host) ก็จะได้รับมันเข้าไป(ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม) ไข่จะเริ่มฟักเป็นตัวอ่อนที่มีขนาดเล็กมาก  และขนาดของมันจะเพิ่มเป็นหนอนที่ยาวกว่าเจ้าบ้านถึง 3-4 เท่าเลยทีเดียว เมื่อมันโตเต็มที่แล้ว มันก็จะเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเจ้าบ้านที่แปลกออกไปนั่นคือการค้นหาแหล่งน้ำแล้วกระโดดตู้มลงไป หลังจากเจ้าบ้านจมน้ำตายแล้ว พยาธิตัวเต็มวัยนี้ก็จะค่อยๆ  ออกมาแล้วไปหาคู่ครอง และผสมพันธุ์ออกไข่กันต่อไป



 

                อันดับ 4 Filarial worm

               
                หนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรค ส่วนมากพบในเขตร้อนชื้น  แถบเมดิเตอร์เรเนียน  ในตุรกี  และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ใน จีน  ไต้หวัน  เกาหลีใต้  อินเดีย  อินโดนีเซีย

               
               พยาธินี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคเท้าช้าง คือ ขา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลืองโดยจะเกิดการอุดกั้นหลอดน้ำเหลือง น้ำเหลืองเกิดการคั่งและทำให้ลำตัวส่วนล่าง รวมทั้งขาและอวัยวะเพศบวม โดยมีสาเหตุมาจากหนอนพยาธิขนาดเล็ก โดยจะมีเฉพาะหนอนพยาธิตัวเต็มวัยเท่านั้นที่อาศัยในระบบน้ำเหลืองของมนุษย์



                อันดับ 5 Sacculina Carcini

               



                Sacculina Carcini เป็นปรสิตพวกหอยเพรียงตระกูลหนึ่ง พบในทะเลทั่วไป โดยมีวงจรชีวิตสองช่วงคือเป็นตัวอ่อนว่ายน้ำได้นานสักสามสี่อาทิตย์ก่อนจะหาเหยื่อเกาะติดถวาร โดยเหยื่อของมันคือปูตัวผู้(เจาะจงด้วยว่าต้องตัวผู้) เมื่อ Sacculina เกาะเหยื่อได้สำเร็จมันจะค่อยกระดืบตามแผ่นเกราะของปูจนถึงส่วนข้อต่อเกราะกับเนื้อซึ่งอาจเป็นขาหรือตามลำตัว ระหว่างนี้ปูโชคร้ายก็พยายามปัดตัวอ่อนปรสิตออกอย่างบ้าคลั่งแต่ยากสำเร็จ

                พอเจ้า Sacculina ตัวเมียหาจุดเหมาะเจาะได้มันจะเจาะรูตรงเนื้อแล้วแทรกเข้าไปในตัวปู ไชลึกเข้าไปๆจนถึงส่วนท้อง ไม่ใช่เพื่อกิน...แต่เป็นจุดเริ่มต้นการยึดครองร่าง

                Sacculina จะเริ่มเติบโตจนท้องปูตัวผู้บวมเป่งเหมือนกำลังตั้งไข่ ขณะเดียวกันเพรียงร้ายจะแพร่เส้นใยคล้ายด้ายไปทั่วร่างเหยื่อเพื่อดูดซับอาหารผ่านเลือด และปล่อยสารเคมีเปลี่ยนปูให้แปรเป็นซอมบี้อย่างช้าๆ

               
                เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการสร้างผีดิบแล้ว ปูจะมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ปรสิตเพียงอย่างเดียว มันจะเลิกสนใจผสมพันธุ์กับเพศตรงข้าม กิจวัตรประจำวันเหลือแค่กินและกินเพื่อป้อนพลังงานทั้งหมดให้กับปรสิตจนถึงไม่เหลือสารอาหารพอให้มันเติบโต ลอกคราบ หรือสร้างก้ามใหม่ได้หากถูกตัดเหมือนปูทั่วไป ที่ใหญ่ขึ้นอย่างเดียวคือส่วนท้องปูซึ่งถูกขยับขยายให้พอสำหรับเลี้ยงตัวอ่อน Sacculina ได้

                หลังจาก Sacuulina ตัวผู้ลอยน้ำมาผสมกับปรสิตในร่างแล้ว พฤติกรรมของปู(แต่เดิมเพศผู้)จะเปลี่ยนเป็นเพศเมียโดยสิ้นเชิง มันจะช่วยปกป้องดูแลไข่ของปรสิตซึ่งฟักอยู่ใต้ท้องโดยใช้ก้ามขัดสาหร่ายหรือราที่มาเกาะไม่ต่างกับแม่ปูดูแลลูก พอตัวอ่อน Sacculina ฟักปูผีดิบก็จะใช้ก้ามช่วยพุ้ยน้ำส่งให้ปรสิตน้อยๆลอยไปแพร่เชื้อซอมบี้ให้เพื่อนร่วมพันธุ์ปูตัวอื่นๆอีกด้วย

 

             อันดับ 2  Leucochloridium paradoxum

               

               

                เจ้าหอยทากซอมบี้ที่ว่านี้ จริงๆ  แล้วมันใช่หอยทากที่ตายแล้วกลายเป็นผีดิบ แต่ที่เขาเรียกมันนั้นเพราะ พฤติกรรมของมันที่ถูกควบคุมโดยหนอนพยาธิชนิดหนึ่ง

                 เจ้าหนอนพยาธิที่ว่านี่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Leucochloridium paradoxum เป็นพวกพยาธิใบไม้ (fluke) จัดอยู่ในไฟลัมหนอนตัวแบน (Phylum Platyhelminthes) ไม่มีชื่อไทย โดยพยาธิชนิดนี้มีหอยอำพัน (amber snails) เป็นพาหะตัวกลาง (intermediate host)  และมีนกเป็นเจ้าบ้านถาวร (principle host)

               
               วงจรชีวิตเริ่มจาก หอยอำพัน เป็นพาหะตัวกลาง กินมูลนกที่มีไข่พยาธิปนเป็นอาหาร พอเจ้าหอยทากได้รับไข่พยาธิเข้าไปในร่างกาย ไข่พยาธิจะฟักออกเป็นตัวอ่อนฃชอนไชเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร เพื่อเติบโตเข้าสู่ระยะเซอร์คาเรีย  และเคลื่อนที่ไปอยู่บริเวณหนวดคู่บนของหอยทาก ในระยะนี้เหล่าตัวอ่อนพยาธิจะอยู่ในปลอกหุ้มที่มีรูปร่างเป็นหลอดยาว และมีแถบวงสีที่สดใส ที่เรียกว่า สปอร์โรซิส (sporocyste) ปลอกหุ้มหนึ่งอันอาจจะมีตัวอ่อนพยาธิอยู่ตั้ง แต่สิบถึงหลายร้อยตัว ทำให้หอยไม่สามารถหดตัวเข้าไปในเปลือกได้  และเริ่มบงการหอยเจ้าบ้านให้ทำตามที่มันต้องการ

                นั่นคือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของหอยทากก็ จากที่เคยอยู่ตามพื้นดินที่ชื้นแฉะ หรือใต้ใบไม้ กิ่งไม้แห้ง ฯ ลฯ  เพื่อหลบหลีกจากผู้ล่าที่จะจับมันกินเป็นอาหาร กลับกลายเป็นว่ามันจะออกไปสู่ที่โล่งแจ้ง  และเริ่มปีนป่ายขึ้นต้นไม้ ไปอยู่ตามใบไม้หรือไม่ก็กิ่งไม้ที่เห็นตัวมันได้เด่นชัด ประมาณว่ายิ่งเด่นเท่าใดยิ่งดี พร้อมทั้งส่ายหนวดที่เหมือนกระบองของมันไปมาเป็นสีที่สดใส เช่น สีเขียว เหล่านี้รวมกับก้านตาที่บวมพองที่ส่ายไปมา ทำให้มองดูเหมือนกับตัวหนอน หลอกล่อให้นกคิดว่าเป็นตัวหนอนอ้วนกลมอันโอชะ และเข้ามาจิกกิน  ถ้าโชคดีก็แค่หนวดขาด ซึ่ง สามารถงอกใหม่ได้  แต่ ถ้าโชคร้ายก็แค่ตายขอรับ เมื่อนกกินเจ้าสิ่งที่คิดว่าหนอนเข้าไป ตัวอ่อนพยาธิก็จะเข้าไปเจริญเติบโต และผสมพันธุ์วางไข่ในตัวนกต่อไป โดยไข่พยาธิจะออกมาพร้อมกับมูลที่นกปล่อยออกมา เมื่อมีหอยโชคร้ายมากินมูลนกที่มีไข่เข้าไป วงจรใหม่ก็จะเริ่มขึ้นต่อไป

 

                อันดับ 1 The emerald jewel wasp

               



                ดูปู หอยซอมบี้แล้วคราวนี้มาดูแมลงสาปซอมบี้บ้าง Emerald roach wasp เป็นต่อชนิดหนึ่งพบได้ในแถบ แอฟริกา อินเดีย และหมู่เกาะแปซิฟิก มีชื่ออีกชื่อคือ The emerald jewel wasp มันจะแสวงหาแมลงซักตัวเพื่อเป็นที่พักตัวอ่อนให้กับมัน โดยเหยื่อที่มันชอบคือแมลงสาบ ซึ่งมันก็จะเข้าไปโจมตีโดยการต่อยแล้วปล่อยสารพิษให้แมลงสาบส่งผลให้แมลงสาบไม่ตาย  ไม่ได้เป็นอัมพาต แต่ไม่สามารถจะเดินได้ด้วยตัวเอง(ซึ่งต่างจากพิษของต่อชนิดอื่นที่จะทำให้เป็นอัมพาต) จากนั้นพวกมันจะสามารถบังคับหนวดของแมลงสาบให้เดินไปยังรังของมันได้ตามต้องการ(คล้ายจูงหมากลับบ้าน )  เมื่อเข้ารังแล้วปล่อยไข่ไว้ในตัวมัน แล้วมันก็จะเด็ดกินหนวดของเหยื่อของมัน อ๊ะ! เหยื่อยังไม่ตายนะ จากนั้นมันก็จะฝังแมลงสาบไว้เพื่อเป็นอาหารให้ลูกมัน ซึ่งเมื่อลูกฟักจากไข่ก็จะเริ่มกินอาหารก็คือเนื้อแมลงสาบซึ่งขณะนั้นแมลงสาบไม่สามารถทำอะไรได้(แต่ดิ้นได้)ก็จะทรมานกับการถูกกินทั้งเป็น และเป็นอาหารจนตัวอ่อนโตขึ้น ซึ่งแมลงสาบก็จะเหลือแต่ซากแล้วล่ะ แล้วตัวเต็มวัยก็จะไปหาแหล่งผสมพันธุ์แล้วมาปล่อยไข่ไว้ต่อ

               
               แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการตีพิมพ์ลงใน Journal of Experimental Biology ว่ามีการทดลองออกมาแล้ว พบว่า พิษของเจ้าตัวต่อ นั้นไปมีผล บล็อกการทำงานของสารสื่อประสาทที่ชื่อ Octopamine ซึ่งเกี่ยวข้องกับ กลไกเคลื่อนไหวที่ซับซ้อน เช่น การเดิน พอมีการบล็อกเจ้าสารสื่อประสาทตัวนี้ ก็ทำให้ไม่สามารถ ?เริ่ม? การเดินได้ ซึ่งเมื่อฉีดสารที่ทำให้เกิดการบล็อก Octopamine ก็จะทำให้แมลงสาบเกิดอาการเหมือนกับการโดนพิษของตัวต่อ และเมื่อฉีดสารกระตุ้น Octopamine ไปในแมลงสาบที่ถูกพิษของตัวต่อ แมลงสาบก็หายดี กลับมาเดินได้ดังเดิม เป็นการยืนยันผลการทดลอง

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version