ผู้เขียน หัวข้อ: 8/02/10::ขอความร่วมมือจากพี่ๆPSWทุกคนด้วยนะคะ...  (อ่าน 1216 ครั้ง)

หมั่นโถว

  • Love only you,Harry...
  • ผู้วิเศษเลือดบริสุทธิ์
  • *****
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 212
  • {{...LoVe U 4eVeR...}}
8/02/10::ขอความร่วมมือจากพี่ๆPSWทุกคนด้วยนะคะ...
« เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2010, 02:59:25 pm »
ก่อนอื่นต้องขอบอกที่มาก่อนนะคะว่าทำไมถึงต้องรบกวนพวกพี่ๆช่วยหนู
เนื่องจากว่าวิชาชีววิทยามีสอบการคิด วิเคราะห์ แล้วทีนี้แผ่นที่หนูได้มาเนี่ย
มันต้องทำกับคนอื่นๆด้วยอ่ะค่ะ ก็เลยต้องมารบกวนให้พี่ๆช่วยหนู

กติกาคือ ให้อ่านเนื้อเรื่องที่หนูจะพิมพ์ต่อไปนี้ แล้วให้พี่แสดงความคิดเห็น
เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านอ่ะค่ะ ว่ามีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร
สั้นๆง่ายๆแค่นี้เองล่ะค่ะ ขอรบกวนพี่สมาชิกแค่ 5 คนเท่านั้นนะคะ ขอย้ำว่า
แค่ 5 คนเท่านั้นเองค่ะ ฝากพี่ๆสต๊าฟด้วยนะคะว่า ถ้ามีการแสดงความคิดเห็น
ครบ 5 คนแล้วให้ล็อกกระทู้ได้เลยค่ะ ป้องกันคนปั่นกระทู้ค่ะ

คนซื่อสัตย์  คือ สมบัติของพระราชา
           เมื่อหลายปีก่อน (ประมาณ 13 ปี) มีนักธุรกิจคนหนึ่งไปหาอาตมาที่วัดสุทัศน์ฯ เป็นนักธุรกิจ
ที่ทำงานอยู่กับคุณเจริญ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี เมื่อพบกัน ท่านผู้นี้ก็แจ้งความประสงค์ของการมา
พบ และเล่าเรื่องที่เป็นจุดประสงค์ ดังนี้..."ท่านคงพอจะจำผมได้นะครับ เราเคยพบกันที่บ้านของคุณ
เจริญ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ผมมีเรื่องอยากจะเล่าให้ท่านฟังดังนี้ว่า
           เมื่อก่อนผมเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์และวิชาประวัติศาสตร์ ปกติผมต้องไปค้นคว้าข้อมูลใน
หอสมุดแห่งชาติ ต่อมา ก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งผูกเปีย 2 ข้างเข้าไปค้นข้อมูลอย่างจริงจัง ว่างก็สนทนา
กันถึงเรื่องวิชาการ...อยู่มาวันหนึ่งนักเรียนหญิงคนนั้นก็ชวนผมไปเที่ยวบ้าน โดยบอกว่าจะให้พ่อเลี้ยง
ข้าวหนึ่งมื้อ ในฐานะที่ให้ความรู้ด้านวิชาการ โดยมีการนัดแนะกันทีี่พระราชวังดุสิต สวนจิตรลดา
โดยเธอบอกว่าเมื่อเข้าประตูที่ 1 แล้วขอให้บอกแก่คนที่เฝ้าประตูด้วยคำพูดนี้ (เป็นคำเฉพาะ)
...ครั้นถึงวันนัดหมายผมก็เดินทางไปโดยรถแท็กซี่ เมื่อเข้าประตูผมก็มิได้สงสัย คงบอกเจ้าหน้าที่ตามนั้น
ครั้นถึงขั้นทีี่ 2 ผมก็บอกตามนั้นอีก เจ้าหน้าที่ก็อัธยาศัยดี ให้ความเคารพผมอย่างยิ่ง
แต่พอถึงขั้นที่ 3 ผมก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนว่า...แท้ที่จริงเด็กผู้หญิงคนนั้นคือ
"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี"ซึ่งตอนนั้นยังมิได้เฉลิมพระยศนี้...
...ท่านครับ พอผมนึกออกก็เริ่มสั่นแล้ว
แต่เหตุที่ผมนึกไม่ออกนั้น เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่า
เจ้าฟ้าจะสนพระทัยในวิชาการอย่างจริงจัง
เวลาค้นคว้าก็ทรงสืบค้นด้วยพระองค์เองทุกอย่าง
ทรงค้นคว้าและจดจำอย่างขมีขมัน
โดยมิได้มีข้าราชบริพารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพระองค์
และเวลาที่ทรงสนทนาก็ให้ความนับถือคู่สนทนา
ยิ่งรู้ว่าผมเป็นครูสอนวิชาดังกล่าว
...เมื่อผมรู้ว่านักเรียนคนนั้นคือสมเด็จพระเทพฯ ผมก็ประหม่า
และแล้วรถแท็กซี่ก็ถึงที่นัดพบ
สักครู่พระองค์ก็เสด็จออกมาแล้วตรัสปฏิสันถาร
ถึงตอนนี้ผมก็ก้มลงกราบกับพื้น และที่ทำให้ผมสั่นยิ่งขึ้นก็คือ
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณพ่อของเด็กผู้หญิงคนนี้คือ
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
...ท่านครับ
สักครู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จออกมา
ทรงมีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มแล้วตรัสว่า
"เห็นลูกสาวบอกว่าเป็นเพื่อนกัน"
เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้
ผมก็ก้มลงกราบด้วยความประหม่าเป็นที่สุด แล้วกราบบังคมทูลว่า
"มิเป็นการบังอาจพระพุทธเจ้าข้า"
...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณตรัสว่า
ขอให้ทำตัวตามปกติไม่ต้องประหม่าหรือกลัวแต่อย่างใด
พระองค์ตรัสขอบใจที่ได้เป็นเพื่อนสนทนาในวิชาการดังกล่าว
จากนั้นพระองค์ก็ตรัสว่า
"อันที่จริงก็มีผู้อยากขอเข้าเฝ้าฯเป็นจำนวนมาก
บางรายก็ขอนำเงินขึ้นทูลเกล้าถวาย แต่เราก็ไม่สามารถจะรับเงินของบางคนได้
เราจะรับเงินของเขาได้อย่างไร ในเมื่อเงินที่เขานำมาถวายเรานั้น
เป็นเงินที่เกิดจากการขายแผ่นดินของเรา เราจึงรับเงินนั้นไม่ได้
...ถ้าจะถามพระราชาอย่างเราว่าพระราชาอย่างเราต้องการอะไร
เราก็ขอตอบว่า ... พระราชาอย่างเราต้องการคนที่ซื่อสัตย์
เพราะคนที่ซื่อสัตย์ คือ สมบัติของพระราชาอย่างเรา"
...ท่านครับ
ผมก้มลงกราบถวายบังคมพระองค์อีกครั้ง ด้วยความซาบซึ้งน้ำตาไหล
ในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้แก่ครูสอนหนังสือเล็กๆ คนหนึ่ง
พระราชดำรัสของพระองค์มีคุณค่ายิ่งต่อชีวิตผม
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว
เป็นอาหารที่ผมรับประทานแล้วอิ่มตลอดชีวิต........
...ท่านครับ จากวันนั้นมา
ชีวิตผมก็เปลี่ยนแปลงไป โดยที่ผมเองก็มิได้รู้ว่าทำไม
ชีวิตของผมซึ่งเป็นครูต้องเปลี่ยนแปลงงานที่ทำโดยมิได้ตั้งใจ
ชีวิตเจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ
แต่พระราชดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้นั้นจารึกอยู่ในใจผมเสมอ
...ผมอยากจะเรียนท่านให้ทราบเพียงเท่านี้แหละครับ
ถ้าท่านจะกรุณานำไปเล่าให้คนทั้งหลายได้รับทราบ ก็จะเป็นลาภของคนที่ฟัง
เขาจะได้รู้ว่าพวกเขาควรทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนของพระราชา
อาจารย์ท่านนี้เมื่อเล่าจบก็ลากลับด้วยสีหน้าที่อิ่มสุขและน้ำตาที่คลอเบ้า
มิใช่เพียงอาจารย์ท่านนี้ที่อิ่มสุขเท่านั้น
อาตมาเองซึ่งเป็นผู้ฟังก็อิ่มสุขน้ำตาคลอเบ้าเช่นเดียวกัน

บทความของพระราชวิจิตรปฏิภาณ วัดสุทัศน์
ที่มา หนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับวันศุกร์ทีี่ 5 ธันวาคม 2551

ปล.ขอบคุณพี่ๆสต๊าฟและทุกๆคนที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นนะคะ
ปล.2 ถ้าเกิดว่ามีคำไหนที่พิมพ์ผิดต้องขออภัยด้วยนะคะ(คนพิมพ์เป็นแบบนี้ค่ะ>> ::))

~OrenjI~

  • εїз PSW Together Forever εїз
  • PSWeb's Staff
  • เจ้าหน้าที่กองบังคับควบคุมกฎหมายเวทมนตร์
  • *
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 6700
  • .:: ชางโจ ... ช่างจน ::.
Re: 8/02/10::ขอความร่วมมือจากพี่ๆPSWทุกคนด้วยนะคะ...
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 16 กุมภาพันธ์ 2010, 11:15:03 am »
ไม่รู้น้องหมั่นโถวจะยังอยากได้อยู่หรือไม่  เพราะนับจากเวลที่น้องตั้งกระทู้มันก็ผ่านมาวันแล้ว
เอาเป็นว่า  อย่าคาดหวังกับความคิดของพี่นักนะคะ  ...  เพราะบางทีก็เพ้อเจ้อได้  ไม่อยู่ร่องกับรอยได้เหมือนกัน  แหะๆ ๆ ๆ

หลังจากอ่านบทความนี้จบลงแล้ว  พี่ตีออกมาเป็น 2 ประเด็น

- ประเด็นแรก คือ การศึกษา  ...  เป็นคำง่ายแสนง่าย  และเราทุกๆ คนคงจะคุ้นเคยกับคำๆ นี้เป็นอย่างดี
แต่เราทราบความหมายของมันมากน้อยแค่ไหนหละ ?



ยัง ยัคส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้ว่า
การศึกษาคือ การปรับปรุงคนให้เหมาะกับ โอกาสและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
หรืออาจกล่าวได้ว่า การศึกษาคือการนำความสามารถในตัวบุคคลมาใช้ให้เกิดประโยชน์

โจฮัน เฟรดเดอริค แฮร์บาร์ต (John Friedich Herbart) ให้ความหมายของการศึกษาว่า
การศึกษาคือ การทำพลเมืองให้มีความประพฤติดี และมีอุปนิสัยที่ดีงาม

เฟรด ดเอริค เฟรอเบล (Friedrich Froebel) การศึกษา หมายถึง การพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กเพื่อให้เด็กพัฒนาตนเอง

จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้หลายความหมาย คือ
1. การศึกษาคือชีวิต ไม่ใช่เตรียมตัวเพื่อชีวิต
2. การศึกษาคือความเจริญงอกงาม
3. การศึกษาคือกระบวนการทางสังคม
4. การศึกษาคือการสร้างประสบการณ์แก่ชีวิต

คาร์เตอร์ วี. กู๊ด (Carter V. Good) ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้ 3 ความหมาย คือ
1. การศึกษาหมายถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่บุคคลนำมาใช้ในการพัฒนาความรู้ ความสามารถ เจตคติ ความประพฤติที่ดีมีคุณค่า
และมีคุณธรรมเป็นที่ยอมรับนับถือของสังคม
2. การศึกษาเป็นกระบวนการทางสังคมที่ทำให้บุคคลได้รับความรู้ความสามารถจากสิ่งแวดล้อมที่โรงเรียนจัดขึ้น
3. การศึกษาหมายถึงการถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ ที่รวบรวมไว้อย่างเป็นระเบียบให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษา

ม.ล.ปิ่น มาลากุล การศึกษาเป็นเครื่องหมายที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงามในตัวบุคคล

ดร. สาโช บัวศรี การศึกษา หมายถึง การพัฒนาบุคคลและสังคมที่ทำให้คนได้มีการเรียนรู้ และพัฒนาขึ้นไปสู่ความเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม

สรุป การศึกษา เป็นกระบวนการให้ส่งเสริมให้บุคคลเจริญเติบโตและมีความเจริญงอกงามทางกาย อารมณ์ สังคม
และสติปัญญาจนเป็นสมาชิกของสังคมที่มีคุณธรรมสูง


ที่มา:
http://www.suphet.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=110827&Ntype=2 + http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=moonfleet&month=06-2009&date=21&group=34&gblog=7

จากข้อความอ้างอิงข้างต้น  ....
การศึกษาไม่ได้เฉพาะเจาะจงอยู่แค่ตำรา, ในห้องเรียนเท่านั้น
แต่การซักถามในข้อที่ตนสงสัยใคร่รู้, ลงมือปฏิบัติจนรู้จริง  ...  ก็เป็นอีกวิธีนึงของขบวนการศึกษาเช่นเดียวกัน
ซึ่งมีคำเรียกไว้เก๋ไก๋ว่า  "การเรียนรู้"

แต่ข้อเสียของคนไทย (บางส่วน)  ...  คือ เกรียน  อุ๊บส์~    5 5 5 +
เรียกให้สุภาพหน่อยแล้วกันว่า  คนไทยที่จบการศึกษาในระดับสูง, สถานศึกษาชื่อดัง (บางคน)  ...  มักจะเป็นพวกน้ำเต็มแก้ว
ฝรั่งว่ามาแบบนี้  ตำราว่ามาแบบนั้น  ...  แต่ลงมือปฏิบัติจริงอาจจะไม่มีเลยสักคนที่ทำได้
นอกจากลงมือปฏิบัติจริงไม่ได้แล้ว  ก็ยังไม่สามารถถ่ายทอดความรู้นั้นได้ด้วย
เพราะไม่รู้จักปรับข้อมูลเนื้อหาให้เหมาะกับระดับความเข้าใจของผู้ที่จะนำความรู้เหล่านี้มาใช้
ทั้งๆ ที่รู้ว่าขบวนการศึกษามันผิดพลาดแต่ก็ยังไม่ยอมแก้ไข  ...  เพราะไม่รู้จะปรับยังไง
อีกทั้งคิดว่าตัวเองรู้แน่, รู้จริง, รู้มาก, และอาจจะเลยไปถึงขั้นแสนรู้ชะมัดเลย
เข้าทำนองว่า  "ฉันฉลาดเพราะเรียนมา  แต่พวกแกนะโง่เอง  อิด๊วกซ์เอ้ย~"  (วิบัติคะ)


ยกตัวอย่าง
เมื่อหลายเดือนก่อนได้ดูรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงปลาดุกในบ่อที่ทำขึ้นมาจากยางรถยนต์
จำชื่อรายการไม่ได้แล้ว  แต่จำได้ว่ารายการนี้อยู่ช่อง 7 สี
เจ้าของเขาก็พูดโน้นนี่นั้น บลาๆ  กุ๊กๆ  ก๊าบๆ ...  อะไรก็ว่าไป
จนมาถึงตอนที่พิธีกรซักถามเรื่องการให้อาหาร, และได้รับคำแนะนำจากกรมฯ หรือไม่ อย่างไร  (กรมฯ อะไรไม่แน่ใจนัก)
เจ้าของก็บอกเล่าว่า  เคยมีนักวิชาการมาให้ความรู้อยู่  แต่เขาคิดว่าหากทำตามแบบที่นักวิชาการแนะนำ
เขาคงไม่มีอะไรจะกินเพราะเป็นหนี้ท่วมหัวซ่ะก่อน
เขาจึงคิดใหม่ทำใหม่  โดยการฝึกให้ปลาดุกเหล่านั้นกินอะไรก็ได้  ...  ผักก็กินได้, อาหารเหลือๆ จากที่บ้านก็กินได้
และมันก็กินได้จริงๆ  แต่ก็ต้องเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ เพราะอาหารที่ให้เป็นอาหารสด ไม่ใช่อาหารเม็ด
ระยะเวลาในการเลี้ยงก็สั้น  และได้น้ำหนักดี
แหกทฤษฎีการเลี้ยงดูปลาดุกเพื่อจำหน่ายของนักวิชาการแตกกระเจิง
และพร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้นี้ให้กับผู้สนใจด้วย

ดังนั้น!! สิ่งที่ท่านทั้ง 2 พระองค์ได้ทางกระทำไว้นั้น  ...  เป็นแบบอย่างที่ดีของเราที่ควรจะน้อมรับมาใช้ในชีวิต
ไม่อย่างนั้น  เราก็เป็นแค่พวกรู้แต่ตำรา  แต่เอามาปฏิบัติจริงไม่ได้



- ประเด็นที่สอง  ความซื่อสัตย์ที่นับวันจะหาได้น้อยเต็มทีในสังคม
เพราะคนเราเดี๋ยวนี้เป็นพวกมือใครยาวสาวได้สาวเอา
แต่ถ้าไม่ได้ดังใจ  ...  ก็สาวไส้ให้กากินมันซ่ะเลย  เหอๆ ๆ ๆ ๆ

ความซื่อสัตย์เป็นคุณธรรมขั้นพื้นที่เราทุกคนต้องมี  และจำเป็นต้องมี 
มิเช่นนั้น สังคมจะนำมาซึ่งความวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น
ท่านจึงบอกเล่าให้อาจารย์ท่านนั้นทราบ  ...  เพราะท่านทรงเล็งเห็นแล้วว่า
อาจารย์ท่านนั้นจะต้องนำเรื่องนี้มาบอกเล่าให้เพื่อนครู, ครอบครัว, ลูกศิษย์ ฟังเป็นแน่
เพื่อที่จะให้ประชาชนของพระองค์มีทางเดินที่ถูกต้อง 
คนเราเก่งได้เป็นเรื่องดี, คนเราขยันทำมาหากินได้เป็นเรื่องดี
แต่ถ้าคนเรามีความซื่อสัตย์เป็นคุณธรรมประจำใจก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก

จบ.


อนึ่ง!!  หวังว่างานนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับกีฬาสีแห่งประเทศไทยนะคะ
เพราะเคยเห็นมาหลายครั้งแล้วที่ครูบาอาจารย์อินกับสถานการณ์มากจนเกินไป
  :-X




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 กุมภาพันธ์ 2010, 12:35:46 am โดย ~ Chicken_rengeR ~ »


:  <กติกาการใช้บอร์ด PSWeb's>  : :  <CREDIT>  : :  <HOTLINK>  :
:   <Hogwarts School>   : :  <Signature & Photo>  : :  <HP>  : :  <PM>  :
  ~ คำคมลุง : ถ้าคุณไม่ชอบผมหรือสิ่งที่ผมทำ ก็ไม่ต้องมาดูการแสดงของผมหรือเข้าเว็บไซต์ของผม ~

 

SMF spam blocked by CleanTalk